Review : The Amazing Spiderman

อ่านก่อนนิดนึง



บทความนี้ คือบทความReview หนังในมุมมองของผมแค่คนเดียว ไม่ใช่มุมมองของคนส่วนมาก ฉะนั้นไม่แปลกถ้าท่านจะรู้สึก เอ๊ะทำไมนายไม่ชอบตรงนี้ เอ๊ะทำไมนายมาด่าเรื่องนี้ เอ๊ะนายบอกเรื่องนี้ดี นายเพี้ยนรึเปล่า อยากจะบอกว่า ผมเป็นแค่คนดูหนังคนนึง มิอาจสามารถเอาใจของคนทั่วโลกมารวมในคนเดียว แล้วประมวลคะแนนให้พอใจทุกคนได้ เพราะคนเราย่อมมีรสนิยมการดูหนังไม่เหมือนกันทุกคนครับ ฉะนั้น ถ้าอ่านReview ของผมแล้ว จงอย่าตัดสินทันที ขอให้พิสูจน์หนังเรื่องนั้นด้วยตัวท่านเอง ไม่แน่ หนังที่ผมบอกห่วย อาจเป็นหนังในใจท่านก็ได้ครับผม ด้วยความเคารพครับ



และขอความกรุณาอย่าSpoil หนังนะครับผม จะSpoil ก็ขอให้ใช้การซ่อนข้อความ



การติชมต่อผลงานของSoma สามารถเขียนได้ในกระทู้อย่างเปิดเผยและตรงๆอย่างไม่ต้องกังวล เข้ามาอ่านReview เล็กๆก่อนตัวเต็ม หรือถ้าใครที่เข้ามาอ่านธรรมดาแต่อยากติชม สามารถเข้าไปติได้ที่Facebook ของกระผมนะครับ



http://www.facebook.com/profile.php?id=100000512771067



The Amazing Spiderman








แนว : แอ็คชั่น ไซไฟ โรแมนติค



ตัวอย่าง








เรื่องย่อ



ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ เด็กหนุ่มที่พ่อแม่หายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย และอาศัยอยู่กับลุงและป้า แต่บังเอิญเค้าได้ค้นพบกระเป๋าเอกสารของพ่อและพาเค้าไปพบความลับและพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่จนก่อให้เกิดเป็นฮีโร่นาม สไปเดอร์แมน







มุมมองของSoma



ผมมั่นใจเลยว่าคำถามแรกที่คนจะไปดูเรื่องนี้หรือกำลังอ่านบทวิจารณ์นี้ต้องถามก่อนเลย “ระหว่างภาคนี้กับเวอร์ชั่นของแซมไรมี่ อันไหนดีกว่า” อันนี้ผมต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคนครับ เพราะทั้ง2เวอร์ชั่นต่างก็มีข้อดี ข้อด้อย ของมันเอง แต่สำหรับผมแล้วถ้าเทียบกันระหว่างภาค1 ซึ่งมีโครงเรื่องลักษณะคล้ายกัน ผมยกให้เวอร์ชั่นของไรมี่ชนะครับผม







แต่ในที่นี้ผมไม่ได้บอกว่าหนังเวอร์ชั่นนี้ไม่สนุกนะครับ The Amazing Spiderman จัดได้ว่าเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่คุณภาพเรื่องนึง โดยจุดที่โดดเด่นที่สุดจนกลายเป็นสิ่งที่ทำให้หนังดูดีเอามากๆคือการแสดงของ Andrew Garfield ที่เค้าสามารถรับบท ปีเตอร์ได้ฉีกแบบจาก Toby Maguire ได้สำเร็จ โดยใส่นิสัยที่กวนและความเป็นเด็กเนิร์ดเข้าไปที่ตัวละครจนหลายฉากทีเดียวที่เราอดขำกับพฤติกรรมกวนๆของเค้าไม่ได้ โดยบอกกันเลยมุกตลกในหนังล้วนเกิดจากตัวปีเตอร์แทบทั้งสิ้น แต่พอเข้าบทดราม่าเค้าก็สามารถแสดงออกมาได้ชวนสะเทือนใจอย่างมาก และที่สำคัญเคมีที่เข้าขากันระหว่าง Emma Stone ที่รับบทเป็น เกวร สเตซี่ ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก รับส่งบทโรแมนติคภายในเรื่องจนบางทีมันก็หวานและน่ารักเอาซะจริงๆ



ส่วนเรื่องของฉากแอ็คชั่นก็ทำได้ดีไม่น่าผิดหวัง หนังยังคงสามารถดีไซน์ฉากการต่อสู้โดยผสมกับความสามารถของสไปเดอร์แมนได้อย่างดีมากๆ ทั้งการพ่นใย ปีนป่ายต่างๆและฉากไคล์แมกช่วงท้ายก็ทำได้ลุ้นระทึก







ในส่วนของบทนั้นเนื่องจากภาคนี้จะเน้นไปที่ความรักของตัวปีเตอร์และเกวน ซึ่งก็ทำจุดนี้ได้ดี แม้จะสงสัยเล็กน้อยเรื่องจุดประกายความรักของทั้งคู่ว่ามาจากไหนก็ตาม แต่ในส่วนของตัวสไปเดอร์แมนนั้นบทมีจุดที่น่าขัดใจพอสมควร ทั้งในเรื่องของวลีอมตะของลุงเบนที่ในเวอร์ชั่นนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีอำนาจต่อตัวปีเตอร์เท่าไรนัก (แต่ผมชอบฉากลุงเบนภาคนี้มาก ชอบกว่าเวอร์ชั่นไรมี่อีก มันดูสะเทือนใจจริงจังมาก) หรือจะเป็นความรู้สึกต่อชาวเมืองที่มีต่อตัวสไปเดอร์แมนก็ยังดูไม่ได้ยิ่งใหญ่มากหรือตัวชาวเมืองมีความผูกพันธ์ มันทำให้ฉากช่วงท้ายมันดูไม่อินเท่าฉากที่ชาวเมืองช่วยกันปาของใส่กรีน ก็อปลิน ของเวอร์ชั่นไรมี่ (แต่ผมชอบไอเดียการช่วยเหลือเล็กๆนำไปสู่การตอบแทนที่ยิ่งใหญ่นะ) หรือไอเดียเรื่องของใยที่สร้างเองก็ยังใช้ได้ไม่ดีพอ หรือควรจะเพิ่มสถานะการณ์กดดันในการต่อสู้จากใยที่สร้างเองมากกว่านี้ และพ่อของเกวนที่บทความสัมพันธ์กับปีเตอร์ส่วนตัวคิดว่ายังไม่น่าเชื่อถือพอกับการตัดสินใจของเค้าในช่วงท้ายเรื่อง ส่วนบทในหลายๆส่วนดูเหมือนหนังจะเชื่อมไปกับภาคต่อพอสมควร ฉะนั้นถ้าดูแล้วรู้สึกไม่เคลียร์หลายๆจุดก็ไม่ต้องแปลกใจอะไรมากมายนัก อีกทั้งช่วงต้นของหนังค่อนข้างยืดยาดน่าเบื่อทำให้บางทีอาจรู้สึกหาวได้ทันที



และในเรื่องของดนตรี บางฉฮากใช้ผิดที่ผิดเวลามาก อย่างฉากที่ต้องช่วยเด็กจากรถจากอารมณ์ดูยิ่งใหญ่แบบที่เป็นในตัวอย่าง ดันเป็นอารมณ์ชวนหลับซะงั้น หรือแม้แต่ Theme ตัวของ สไปเดอร์แมนยังรู้สึกไม่น่าจดจำเท่ากับเวอร์ชั่นเก่าเลย ไม่สิผมยึงนึกไม่ออกเลยว่าเพลงไหนคือTheme ของเจ้าแมงมุมตัวนี้ ฉะนั้นผมหวังเรื่องดนตรีประกอบในภาคนี้เลยค่อนข้างผิดหวังจุดนี้มากที่สุด







สรุป : เมื่อมองภาพรวมแล้ว ส่วนตัวของผมภาคนี้ยังไม่ดีเท่าภาคแรกของเวอร์ชั่นไรมี่ แต่นับว่าเป็นสไปเดอร์แมนที่ไม่ผิดหวังแต่อย่างใด โดยจุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือการแสดงของ Andrew Garfield ที่แสดงบทปีเตอร์ได้ยี่ยวนกวนประสาทและดราม่าอย่างดีมากๆ รวมถึงเคมีที่เข้าขากับ Emma Stone อีก รวมถึงฉากแอ็คชั่นที่ดูสนุก บทที่อาจจะมีจุดดูขัดใจแต่ก็ไม่ถึงขั้นน่าผิดหวังอะไรนัก โดยรวมแล้วสไปเดอร์แมนภาคนี้คือหนังที่ดีมีจุดแตกต่างกับเวอร์ชั่นไรมี่ ซึ่งตรงนี้แล้วแต่คนจะชอบล่ะครับผม



เกรด : B+




สุดท้ายนี้ขอ ลาล่ะ555
Miscellaneous

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา