Full Metal Alchemist Fan-fiction(ต่ำกว่า18หรือไม่มีจินตนาการไม่ควรอ่าน)

[font size=5 color=red]~Full Metal Alchemist Fan-fiction~[/font]


[font size=2 color=fuchsia]ฟิคสั้นเขย่าขวัญ(กรุณาทำใจก่อนอ่าน)[/font]




[font size=2]บ่ายวันหนึ่งในEast City...[/font]

เขตแดนใต้ความรับผิดชอบของผู้พันเจ้าสำราญ Roy Mustang ที่หญิงสาวทั้งนครหลวงและนครตะวันออกต่างลงมติอยากออกเดทด้วยมากที่สุด



วันนี้ชายหนุ่มยังคงคร่ำเคร่งกับงานเช่นเคย หากแต่ราตรีมาเยือนเมื่อใด เขาก็พร้อมสลัดเครื่องแบบและโลดแล่นไปกับสาวสวยโดยไม่ใส่ใจสถานภาพตนเอง พฤติกรรมเช่นนี้สร้างความเบื่อหน่ายแก่ Riza Hawkeye ลูกน้องคนสนิทมากที่สุด โชคดีที่ผู้พันไม่เคยแสดงท่าทีอยากกินไก่วัดผู้มีนัยน์ตาแหลมคมดุจนางเหยี่ยวคนนี้ มิเช่นนั้นคงได้รับรู้ในไม่ช้าว่านรกกลางดงกระสุนปืนนั้นเป็นเช่นไร



และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผู้พันหนุ่มนัยน์ตาไม่มีชั้นสองต้องร้องหา Edward Elric เจ้าของสมญา[font color=blue]Full Metal Alchemist[/font] เด็กชายอัจฉริยะที่ได้รับสัญลักษณ์แห่งนักเล่นแร่แปรธาตุประจำรัฐเมื่ออายุเพียงสิบสองปี และทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเรียบร้อยมั่ง วุ่นวายมั่ง แต่กลับเป็นที่ชื่นชมจากประชาชนทั่วไปจนได้รับฉายา [font color=blue]“สุนัขรับใช้กองทัพที่อยู่ฝ่ายประชาชน”[/font]



“ริซ่า! ไปตามเอ็ดเวิร์ดมาเดี๋ยวนี้!!”

รอยสั่งโดยไม่เงยหน้าจากรายงานการปฎิบัติภารกิจล่าสุดของเด็กน้อยผมทอง สาวผมสีฟางข้าวที่รวบขมวดแน่นด้วยคลิปหนีบผมขานรับคำสั่งโดยไม่เงยหน้าจากกองเอกสาร ก่อนเดินออกไปโดยไม่แม้แต่ชำเลืองสายตามายังผู้เป็นนาย จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มมีเลศนัยและดวงตาพราวระยับของผู้พันเจ้าสำราญ ยามนึกถึงดวงหน้าอ่อนใสและนัยน์ตาสีแสงสุริยันของเด็กในสังกัด พลางคิดหาคำพูดกระทบกระเทียบอย่างเคยเพื่อให้ได้เห็นหน้าใสๆทำท่าเหมือนแมวถูกตีขนดหางขู่ฟ่อใส่เขา และทำหงอยเป็นสุนัขโดนดุเมื่อโดนเตือนเรื่องความลับของน้องชายที่ตนแกล้งแบล็กเมล์แต่ครั้งแรก แถมใช้ได้ผลเสียด้วย!?!



ร้อยเอกริซ่า ฮอว์คอาย…หญิงสาวผู้เคร่งครัดในกฎระเบียบเดินหาเด็กใต้บังคับบัญชาส่วนตัวของผู้พันทั่วทั้งกองบัญชาการก็ยังไม่พบแม้แต่เงาหัว จึงเดินไปยังหอพักเจ้าหน้าที่แทน แต่เมื่อเลี้ยวหัวมุมมาเพียงหนึ่งก้าว สายตาอันแหลมคมของสาวเจ้าก็จับจ้องร่างสองร่างที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่ตรงบานประตูห้องห้องหนึ่ง



ร่างสองร่างนั้นสวมใส่เครื่องแบบนายทหาร ร่างหนึ่งสูงใหญ่ไว้ผมทรงรด. อีกร่างเล็กบางไว้ผมรองทรงและสวมแว่นจนดูเหมือนเด็กนักเรียน มองปราดเดียวหญิงสาวก็ชี้ชัดได้ว่ามิใช่ใครอื่น ลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเจ้านายตนเช่นกันนั่นเอง…



“ฟูรี่…เบรดา…ทำอะไรลับๆล่อๆหือ?”

เสียงเข้มจัดอย่างคนเจ้าระเบียบดังขึ้นเบื้องหลังนายทหารหนุ่มทั้งสอง จนผู้ถูกเรียกทั้งสองสะดุ้งเฮือก และเมื่อหันกลับไปเห็นสายตาคมวาวดุจเหยี่ยวสาวเข้าก็เข่าอ่อนลงไปนั่งกอดกันหน้าประตูนั้นเอง



“ฉันถามว่าทำอะไรกันอยู่?”

ริซ่าทำเป็นไม่ใส่ใจอาการตัวสั่นหน้าซีดของทั้งสอง สายตาแหลมคมของหญิงสาวเคลื่อนไปจับจ้องประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม ป้ายชื่อหน้าห้องแปะไว้ว่า [font color=red]E. Elric[/font] ทีนี้ก็ถึงจุดหมายปลายทางสักที หากเอ็ดเวิร์ดไม่อยู่ในห้องนี้อีก หญิงสาวก็ไม่คิดจะออกไปตามหาทั่วเมืองแล้วล่ะ



แต่ก่อนที่มือขาวๆยาวเรียวของริซ่าจะได้เคาะประตูของสองพี่น้องนักเล่นแร่แปรธาตุ ฟูรี่และเบรดาก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครในที่นั้นคาดคิด!?!

“อย่าครับ”

สองนายทหารไม่ห้ามเปล่ายังยื้อยุดฉุดร่างหญิงสาวผู้มียศสูงกว่าให้นั่งในระดับเดียวกับตนด้วย และก่อนที่พันโทสาวจะชักปืนพกคู่ใจออกมาตามสัญชาติญาณความไม่ชอบมาพากล ก็ถูกมือหนาเทอะทะของเบรดาดึงศีรษะไปแนบชิดติดบานประตูพร้อมสัญญาณจุ๊ปากจากฟูรี่



หญิงสาวขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทีของทั้งสอง แล้วหัวคิ้วทั้งสองก็ย่นเข้าหากันมากขึ้นอีกเมื่อได้ยินเสียงแผ่วเบาที่ลอดออกมาจากห้องของสองพี่น้อง เสียงร้องครางเหมือนคนกินพริกขี้หนูสวนเข้าไปสิบเม็ดปลุกประสาทของหญิงสาวให้ตะลึงพรึงเพริด เสียงคุ้นๆแบบนี้…ไม่ใสแจ๋วเหมือนของอัลฟอนเซ่ แต่ยังคงเป็นเสียงของเด็กชายที่ยังไม่ก้าวเข้าสู่วัยรุ่น และเมื่อห้องนี้เป็นของสองพี่น้องตระกูลเอลริคแล้ว เสียงครางปริศนานี้จะเป็นของใครไปได้กันเล่า!



แล้วริซ่าก็ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวต่อไป เมื่อประโยคต่อมาบอกชัดๆว่าใครคือเจ้าของเสียงครางรัญจวนใจนั้น…

“ร้องดังๆก็ได้ครับพี่ ไม่ต้องฝืนหรอก”



“ผู้ชายที่ไหนจะร้องครวญครางเป็นผู้หญิงกันเล่า!”

สำนวนห้วนๆแบบนี้…

น้ำเสียงเอาแต่ใจแบบนี้…

ของเอ็ดเวิร์ดแน่ๆ!!



แต่แล้วเจ้าของคำพูดนั้นก็ต้องร้องครางดังขึ้นอย่างระงับไม่อยู่ ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม ผู้แอบฟังหน้าห้องทั้งสามไม่อาจคิดในแง่ดีงามได้ทั้งสิ้น และยิ่งคิดดีๆไม่ออกมากขึ้นเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของเอลริคคนน้อง



“อยู่กันสองต่อสองแบบนี้จะไปอายใครล่ะครับ อยากร้องก็ร้องมาเถอะ ผมจะได้ออมแรงให้ไง เดี๋ยวพี่ขาดใจตายก่อน”

น้ำเสียงรื่นรมย์เช่นนั้น ฟังอย่างไรก็ไม่เห็นจะมีความเป็นห่วงเป็นใยในอาการของผู้เป็นพี่สักนิด อย่างที่รู้กันดีว่าอัลฟอนเซ่นั้นทั้งรักทั้งห่วงพี่ชายมากขนาดไหน เด็กคนนั้นไม่มีทางทำร้ายสายเลือดที่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้เพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว บางทีเอ็ดเวิร์ดอาจไม่ได้รับอันตรายอย่างที่คิดไว้แต่แรกก็ได้กระมัง



“แค่นี้ไม่…เท่าไรหรอกน่า นายจะออมแรงทำ…บ้าอะไร”

ดูเหมือนเอลริคคนพี่จะพยายามกัดฟันพูดเสียมากกว่า ถ้อยคำถึงได้กระท่อนกระแท่นเช่นนั้น และสองหนุ่มหนึ่งสาวหน้าห้องก็ต้องขนลุกชันทั้งร่างเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะหยาดเย็นดั่งฆาตกรจิตวิปริตในห้องนั้น



“หึ หึ หึ…ถ้าพี่พูดถึงขนาดนี้ล่ะก็ ผมจะใช้ท่าใหม่ที่เพิ่งเรียนมากับพี่ล่ะ!”

จากนั้นความเงียบก็เข้าครอบคลุมทั้งในห้องและนอกห้องเป็นเวลาไม่ถึงนาที แต่สามทหารเสือจำเป็นกลับรู้สึกว่ายาวนานราวฤดูหนาวที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่สุดท้ายเสียงที่แทรกทำลายความเงียบขึ้นมานั้นกลับแปรเปลี่ยนอุณหภูมิภายนอกให้ร้อนระอุราวอยู่กลางทะเลทรายเสียนี่



“โอ๊ย! ไม่เอาแล้วอัล! มันเจ็บนะ!”

เสียงโวยวายดังขนาดที่ถึงไม่แนบหูกับประตู เพียงอยู่หน้าห้องในระยะเอื้อมมือเคาะก็ยังได้ยินอย่างชัดเจนทำให้ทั้งสามคิดว่าเหตุการณ์ภายในห้องคงถึงขั้นวิกฤตแล้วเป็นแน่ เพราะฟูลเมทัลนั้นไม่ใช่คนที่จะร้องแรกแหกกระเชอกับความเจ็บปวดใดง่ายๆ และสำหรับเด็กที่ต้องรับการผ่าตัดใส่ออโต้เมล์ถึงสองชิ้นเมื่ออายุเพียงสิบเอ็ดปีคงไม่มีความเจ็บปวดใดที่ไม่อาจทานทนแล้วล่ะ



“ไม่ได้ครับพี่ มาถึงขั้นนี้แล้วผมเลิกกลางคันไม่ได้หรอกครับ!”

น้ำเสียงรื่นเริงของเอลริคคนน้องเหมือนได้ของเล่นถูกใจ ตามด้วยเสียงหัวเราะร่าเริงราวเด็กน้อยไร้เดียงสาช่างขัดกับประโยคที่กล่าวออกมาเช่นนั้นยิ่งนัก ทำเอาผู้แอบฟังทั้งสามหัวใจเต้นรัวเร็ว ความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นชำแรกแทรกซึมเข้าไปทุกรูขุมขนจนหลงลืมจุดประสงค์ของตนเองในการมาเยือนห้องนี้ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง



ฟูรี่นั้นหมายใจจะมาชวนอัลฟอนเซ่ไปเล่นกับแมวของสาวๆในโรงครัว ส่วนเบรด้านั้นตั้งใจจะมาชวนเอ็ดเวิร์ดไปคุยที่โรงอาหาร เพื่อให้เล่าวีรกรรมที่เพิ่งไปก่อมาตามปกติ สำหรับริซ่าคงไม่ต้องบอกอีกครั้งว่ามาที่นี่ทำไม แต่ปัญหาคือสามคนนี้ตั้งใจจะทำอะไรต่อไปเมื่อมีเหตุอันเย้ายวนใจให้ละเลยหน้าที่เช่นนี้ ดีไม่ดีจะเชิญชวนให้เพิกเฉยต่อมนุษยธรรมไม่เข้าไปขัดขวางการทารุณกรรมเด็กด้วยซ้ำ



และแล้วก็เหมือนพระมาโปรด เสียงห้าวๆดังขึ้นเบื้องหลังทั้งสามที่เกาะกลุ่มกันแน่นโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องครวญครางไม่ขาดระยะจากนักเล่นแร่แปรธาตุตัวน้อย

“ทำอะไรกันอยู่หือ…ครับ! ร้อยเอกริซ่า”



Jean Havocนั่นเอง…ทีแรกเขาเห็นเพียงร่างเล็กบางของฟูรี่กับร่างหนาเทอะทะของเบรด้าเท่านั้น เพราะริซ่ายืนอยู่หน้าสุดของกลุ่มจึงโดนชายร่างยักษ์แต่ใจเสาะบังเสียมิดเมื่อมองในมุมที่เขาเดินมา หากแต่สายตาคมกริบของริซ่าที่สั่งให้หุบปากโดยอัตโนมัติก็ทำให้นายทหารหนุ่มผู้จงรักภักดีต่อผู้พันรอย มัสแตงยิ่งชีวิตเดินอย่างเงียบงันมารวมกลุ่มกับทั้งสาม และก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดที่เหมือนจะเบาลงไปได้พักหนึ่ง



“โอ๊ย! ไอ้น้องบ้า ไอ้น้องโรคจิต กล้าทำทารุณกรรมพี่ชายตัวเองได้ลงคอ!”



“นี่มันอะไรกันครับ?”

ร้อยโทหนุ่มถามร้อยเอกสาวทางสายตา และคำตอบที่ได้รับกลับมาทางเดียวกันก็คือ…

‘ฟังเงียบๆเหอะน่า!’



เวลาผ่านไปเสียงสบถก่นด่าน้องชายตัวเองของเอ็ดเวิร์ดก็ค่อยๆแผ่วเบาลงไป เสียงหอบครางเหมือนคนเพ้อด้วยพิษไข้ลุกลามอย่างหนักเร้นลอดผ่านบานประตูไม้ออกมาแทน บัดนี้คนทั้งสี่รู้ดีว่าเจ้าของเสียงครวญครางนั้นคงเพ้อด้วยพิษภัยอย่างอื่นมากกว่าไข้หวัดธรรมดาเป็นแน่ อารมณ์ภายในจึงคุกรุ่นร้อนรุ่มด้วยจินตนาการอันบรรเจิดเพริศแพร้วตามเสียงสดับที่ไม่ขาดระยะนั้น จนกระทั่งเสียงของเด็กชายไร้ร่างเนื้อดังขึ้นอีกครั้ง



Fiction

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา