Evangelion : Left Behind ตอนเริ่มเรื่อง

เด็กชายเอื้อมมือไปบีบคอของเด็กสาวด้วยจิตใจที่แสนว้าวุ่น แต่เขากลับไม่มีแรงจะกระทำเร่องต่อจากนั้นได้ จะด้วยไม่มีความกล้าพอ หรือด้วยเพราะได้สติขึ้นมา ไม่มีใครสามารถรู้ได้ เด็กสาวที่นอนอยู่บนชายหาดยาว ที่น้ำทะเลสีแดงฉานสาดซัดเข้าฝั่ง เบื้องหลังมียักษ์สีขาว 3 - 4 ตัวถูกตึงไว้กับวัตถุบางอย่าง มองหน้าเด็กชายด้วยตาที่ไร้แวว ก่อนจะเอ่ยคำพูดด้วยเสียงอันอ่อนล้า



"น่าคลื่นไส้ชะมัด"



ปี 2000 โลกเผชิญหน้ากับมหาวิบัติครั้งใหญ่ที่เรียกว่า "เซคันด์ อิมแพคต์" มนุษย์เสียชีวิตจากเหตุกา์รณ์ดังกล่าว มากถึง 1 ใน 3



ปี 2015 โลกต้องเผชิญกับวิกฤษซ้ำอีกครั้งในเหตุการณ์ที่เรียกว่า "เทิร์ด อิมแพคต์" มนุษย์ได้"สูญหาย" ไปจากโลก ตามจำนวนคร่าวๆถึง 1,500 ล้านคน เมื่อรวมจากผลกระทบในเหตุการณ์ครั้งแรก มนุษยชาติหลงเหลือเพียงไม่ถึงพันล้าน



ปี 2018 จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทั่วโลกได้ตระหนักว่าหากจะอยู่รอดต่อไป จำเป็นที่ทุกคนจะต้องร่วมกันฝ่าฟันออกไป มนุษยชาติได้รวมกันเป็นหนึ่งโดยยกเลิกความเป็นประเทศ ทุกฝ่ายยอมทิ้งอาวุธ และหันหน้าเข้าหากันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์



และนี่คือเรื่องราวหลังจากนั้น..........





วันนั้นผมได้สูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไป พ่อของผม เพื่อนของผม คนที่ผมคิดว่าผมรักเขา คนที่ผมคิดว่าเขารักผม แต่ผมยังอยู่ได้ ผมยังมีชีวิตอยู่ เพราะวันนั้นผมเลือกที่จะอยู่ต่อไป มันเป็นสิ่งที่ผมต้องการเอง แต่ตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่าหากมีโอกาสอีกครั้งผมจะเลือกเหมือนเดิม

หรือเปล่า ผมมารู้ในตอนหลังว่า รอบอาณาบริเวณ 500 กิโลเมตรในที่แห่งนั้นนอกจากผมกับอาสึกะแล้ว ไม่มีใครรอดอยู่เลย

หลังจากนั้นประมาณ 3 วันให้หลัง ผมจึงได้รับการช่วยเหลือ แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้พูดกับอาสึกะอีกเลย เธอย้ายไปอยู่ประเทศอื่นทันทีที่หายดี ไม่สิในตอนนี้ไม่มีประเทศอื่นอีกแล้ว โลกทั้งหมดรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แม้จะไม่เหมือนกับที่พ่อผมต้องการไว้ แต่ตอนนี้โลกได้รวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ทั้งส่วนทางโลก และส่วนทางจิต บางทีอาจจะมีผมคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ เพราะผมเป็น"พยาน"เพียงคนเดียว ที่ได้เห็นเรื่องนั้น และแม้จะอยู่ไกล้ๆ แต่ผมไม่คิดว่าอาสึกะจะรู้ด้วย หรือเธออาจรู้แต่ไม่ยอมเล่าให้ใครฟัง ไม่ว่าจะยังไง ผมก็คิดว่าที่สุดแล้ว ผมก็คงยังไม่เข้าใจคนอื่นอยู่ดี ไม่สิ กระทั้งตัวเองบางครั้งผมยังไม่แน่เลยว่าผมเข้าใจมัน



"ผมคิดว่าถ้าคุณไม่ต้องการเรียนวิชาผม คุณก็ไม่จำเป็นต้องฝืนมาก็ได้นะ คุณอิคาริ"

เสียงนั้นทำให้ผมออกจากผวัง จริงสิตอนนี้ผมเรียนในมหาวิทยาลัย ในคณะวิทยาศาสตร์ ที่ผมเลือกคณะนี้อาจเป็นเพราะผมคงอยากจะเข้าใจพ่อของผมขึ้นมาอีกหน่อย หรืออาจจะเป็นเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ ผมบอกไปหรือยังว่าผมยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันน่ะ

"ขอโทษครับ" ผมตอบไป แต่รู้สึกว่าคำตอบนั้นคงไม่ดีพอ "ผมคิดว่าคุณยังไม่เข้าใจนะ คุณอิคาริ คุณไม่เคยตั้งใจฟังที่ผมพูดเลยสักครั้ง ผมรู้ว่าคุณไม่ได้เอกประวัติศาสตร์ แต่นี่เป็นวิชาบังคับ ถ้าคุณคิดว่าจะมาทำเล่นๆกับวิชานี้ล่ะก็ ผมให้คุณเรียนอีกครั้งปีหน้าได้นะ" ผมรู้สึกขัดแย้งในใจ ลองมองไปรอบๆห้องเรียนนี้สิ มีใครตั้งใจฟังบ้าง ความจริงก็คือ วิชาประวัติศาสตร์ไม่มีบรรจุเป็นภาควิชาหลักอีกต่อไป หมายความว่าไม่มีคณะประวัติศาสตร์อีกแล้ว ถ้าจะใกล้เคียงหน่อยก็คงจะเป็นคณะสังคมกระมัง เหตุผลก็คือ ทุกคนคิดว่าเราควรจะมองไปข้างหน้ามากกว่าที่จะเหลียวกับมามองความผิดพลาด

ที่ทำไว้ในอดีต ไม่รู้ว่าใครเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้ แต่มันเป็นความคิดที่เข้าท่าเหมือนกัน



"ด้วยเหตุนี้ ท่านคามุอิ ยางามิ จึงได้ก่อตั้งสมาพันธรัฐแห่งโลกขึ้นมา และเขาคือประธานคนแรกของสมาพันธ์ด้วย ในช่วงแรกท่านคามุอิได้พยายามที่จะรวบรวมผู้คนขึ้นมาเพื่อค้นหาผู้ที่สูญหายไป แต่กระนั้นการค้นหาก็ยุติลงในอีก 10 เดือนให้หลัง ท่านคามุอิคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะค้นหากันต่อ และขอให้ทุกคนร่วมกันเพื่อใช้ชีวิตต่อไป แม้จะได้รับการต่อต้านจากทั่วโลกในตอนแรก แต่ในที่สุด หลังจาก 103 ประเทศยอมวางอาวุธและเข้าร่วม มหาอำนาจทั้งหลายก็โอนอ่อนตาม ในตอนนี้โลกของเรามีแต่สันติเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์" ผมไม่ได้รู้จักกับคามุอิ ยางามิมากนัก แต่ผมเคยเจอเขาครั้งหนึ่ง ก็เป็นเขานี่แหละที่ช่วยผมกับอาสึกะไว้ในตอนนั้น ผมยังจำคำพูดคำแรกที่เขาพูดกับผมได้ เขาพูดว่า "เข้มแข็งไว้เจ้าหนู ฉันจะหาพ่อแม่เธอให้พบให้ได้เลย ฉันสัญญา" แน่นอนว่าผมไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แม่ของผมตายไปแล้ว พร้อมๆกับพ่อของผม น่าจะพูดแบบนั้นได้ เพราะแม่ที่ผมคิดว่าตายไปตั้งแต่ตอนที่ผมยังเด็กกลับอยู่กับผมมาตลอด และปกป้องผมมาหลายครั้ง แน่นอนว่าคุณยางามิไม่ได้ทำตามสัญญา แต่ผมก็คงจะโกรธอะไรเขาไม่ได้



เย็นวันนั้นผมเดินกลับหอพักของตัวเอง มันดีตรงที่ว่าตอนนี้ผมแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย คนที่อายุต่ำกว่า 21 ปีทุกคนได้รับทุนพิเศษในการศึกษา อันนี้ต้องยกเว้นไว้อย่างน้อยคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาทำอะไรอยู่นะ แล้วเขาจะคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า หรือว่าเขาพยายามจะลืมผมไปพร้อมๆกับเรื่องที่เกิดที่เนริฟให้ได้ ช่วยไม่ได้จริงๆแม้แต่ผมเองก้ไม่อยากจะจำเรื่องนั้นอีกเหมือนกัน แล้วใครเป็นคนเสียค่าใช้จ่ายน่ะเหรอ จะใครซะอีก คุณยางามิ ได้สละทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามีจะการประกอบกิจการของเขาเพื่อช่วยเหลือทุกคนในโลก เขาบอกว่า ตอนนี้สิ่งที่จำเป็นสำหรับโลกนี้ไม่ใช่ตึกสูงๆหรือตัวเลขในบัญชีอีกแล้ว แต่เป็นความหวังต่างหาก และเขาอยากจะเพิ่มให้กับทุกคนแม้สักเล็กน้อยก็ยังดี น่าแปลกที่แม้ว่าโลกจะเป็นแบบนี้แล้ว ระบบเงินตราก็ยังมีอยู่



"อิคาริ วันนี้ไปกันหน่อยไหมล่ะ" ผมจำพวกนั้นไม่ค่อยได้ รู้แต่ว่าชื่อ ซาวาดะ กับ โทยะ อะไรนี่แหละ เพราะเราไ่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ ไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัวหรอก ผมไม่สนิทกับทุกคนนั่นแหละ อาจเพราะผมยังทำใจไม่ได้ เรื่องของโทจิ แล้วก็..... คาโอรุ ถ้าพวกนั้นรู้เรื่องที่ีผมทำกับสองคนนั้นเขาจะคิดยังไงนะ จะเข้ามาตบไหล่ปลอบใจผม หรือว่าจะไม่มาเจอหน้าผมอีกเลยนะ "ขอบใจนะ แต่ฉันต้องกลับไปทำงานส่งอาจารย์พรุ่งนี้น่ะ" ผมไม่เปิดโอกาสให้พวกนั้นคะยั้ยคะยอเลย ผมไม่ได้โกหก ผมมีงานที่ต้องส่งอาจารย์พรุ่งนี้จริงๆ แต่มันก็ไม่ได้เป็นงานที่มากมายอะไรนัก ผมน่าจะทำเสร็จได้ในเวลาไม่นาน เวลาที่เหลือผมจะทำอะไรต่อล่ะ โทรไปหาอาสึกะ ทั้งๆที่รู้ว่าเขาคงไม่รับสายผมแน่ๆ หรือไปเยี่ยมสุสานพ่อแม่ผมกับคุณมิซาโตะ ที่ไม่มีร่างของพวกเขาอยู่ในนั้นดีล่ะ



อายานามิ จริงสินะทำไมผมมักจะนึกถึงเขาเป็นคนสุดท้ายเสมอเลย พวกเขาไม่พบคนชื่อนี้ในทะเบียนราษฎร เลยไม่มีสุสานของเขาที่นั่นด้วย ตอนนี้คนที่รู้ว่าในโลกนี้เคยมีคนที่ชื่อ อายานามิ เรย์ อยู่ คงจะมีแต่ผมกับอาสึกะกระมัง แต่บางทีอาสึกะอาจจะไม่รู้ก็ได้ เพราะผมไม่เคยได้ยินอาสึกะเรียกชื่อของอายานามิสักครั้ง



บางทีผมก็เคยนึกนะ ถ้าเกิดว่าผมหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาพบว่าทุกอย่างมันไม่เคยเกิดขึ้นมาเลยมันจะดีกว่านี้หรือเปล่า

เนริฟให้อะไรดีๆกับผมบ้างหรือเปล่านะ บางทีบาดแผลมันอาจจะเจ็บเกินว่าที่เราจะกลิ่นของดอกไม้ก็ได้



ผมกลับมาถึงห้องของตัวเองแล้ว ผมโยนกระเป๋าลงบนเตียงนอน ก่อนจะเปิดประตูระเบียงออกไปรับลมตอนเย็นกับมองดูพระอาทิตย์ตกเหมือนทุกวัน ไม่รู้ว่าทำแบบนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา "กลับมาแล้วเหรอ " เสียงเย็นๆนั้นดังมาจากข้างหลังของผม บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ผมนึกถึงอายานามิเป็นคนสุดท้ายก็ได้ เพราะว่าเราเจอกันอยู่ทุกวัน น่าแปลกที่ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็นเขาแท้ๆ เพราะผมค่อนข้างมั่นใจว่าที่ผมเห็นอยู่ทุกวันนี้เป็นภาพหลอนของตัวผมเอง แต่ทำไมเขาถึงไม่ตามผมไปมหาวิทยาลัยด้วยนะ "ฮิ่อ" ผมตอบเธอไป แต่ถ้าใครได้ยินเข้าคงคิดว่าผมบ้าแน่ แต่คงจะไม่มีใครแปลกใจ เพราะคนแถวนี้มันก็มีอาการคล้ายๆผมกันทั้งนั้น หมอบอกว่าเป็นอาการจากการที่เรายอมรับความจริงอะไรไม่ได้ ผมฟังมาจากคนอื่นอีกทีนะ เพราะผมคงไม่กล้าไปปรึกษาใครเรื่องนี้แน่ๆ "กินอะไรหรือยังล่ะ" เขาถามผมต่อ "ก็จะมาทำกินเองน่ะ คงต้องประหยัดไว้บ้าง" สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้แน่ๆว่านี่เป็นภาพหลอน คืออายานามิยิ้มให้ผมทุกครั้งเวลาที่ผมกลับมา อายานามิตัวจริงไม่มีทางทำแบบนี้แน่ๆ



ในตอนที่ผมกำลังจะเข้าครัวไปเพื่อจะทำอาหารเย็นนั้นเอง เสียงที่ผมไม่ได้ยินมา 5 ปี ได้ดังขึ้น

ผมตกใจตัวแข็งไปชั่วขณะ สัญญาณเตือนครั้งสุดท้ายที่ผมได้ยินนั้นผมไม่กล้าแม้แต่จะออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น บางทีคุณมิซาโตะอาจจะตายด้วยเหตุนี้ก็ได้ ผมรีบวิ่งไปที่ระเบียงเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรกันแน่ แต่สิ่งที่ผมไม่อยากจะเชื่อก็ปรากฎต้องตรงหน้าผม อะไรบางอย่างรูปร่างเหมือนกับตุ๊กตาล้มลุกกำลังลอยเข้ามาทางทะเล ห่งจากหอพักที่ผมอยู่แค่ไม่กี่กิโลเมตร รูปร่างของมัน เปิดความทรงจำที่เลวร้ายของผมอีกครั้ง มันเป็นไปได้ยังไงกัน สาวกตัวสุดท้ายผมเป็นคนจัดการเองกับมือนี่นา แล้วไอ้เจ้านั้นมันอะไรกันอีก คำถามมากมายผุดขึ้นมาในใจผมที่กำลังเต้นสั่นระรัวอยู่ตอนนี้
Fiction

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา