Mecha Story: หัวไหล่สีแดง กับ ครอบครัวเทรลเลอร์

คราวนี้ก็เห็นข้อมูลมาสักพักแล้ว แต่เพิ่งจะเอามาเรียบเรียงเพื่อเตรียมต้อนรับภาคใหม่ (แต่เนื้อเรื่องดันเกิดก่อนภาคแรกแฮะ) อีกส่วนนึงก็เพราะสกรีนช็อตของภาคเกมน่าสนใจใช้ได้...(แต่เกมโวท่อมที่ผ่านมามีทั้งดีและร้ายปนๆกันนี่นะ...)









ATM-09-ST สโคปด็อก

อาเมอร์ทรูเปอร์ (AT) ที่นับว่ามีความสำคัญที่สุดในสงครามร้อยปีระหว่างสมาพันธ์กิลกาเมชและบาลาแรนท์ สโคปด็อกเป็นสุดยอดอาวุธที่กิลกาเมชพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่เริ่มโปรเจ็คท์โวท่อม (VOTOM = Vertical One-man Tank for Offense and Maneuvers) และนับเป็นรูปแบบพื้นฐานของATที่พัฒนาขึ้นในภายหลัง นับเป็นเรียลโรบ็อทที่มีขนาดเล็ก (3.804 เมตร)

สโคปด็อกสามารถไถลไปตามพื้นได้ด้วยแผ่นไกลดิ้งฟอยล์ติดเท้า โครงสร้างของแขนและขาเป็นมัสเซิลไซลินเดอร์ซึ่งสามารถจำลองการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมนุษย์ได้อย่างเกือบสมบูรณ์และระบบเซนเซอร์ของสโคปด็อกจะเชื่อมต่อกับแว่นของนักบินโดยตรง เพื่อให้ใช้งานได้ในหลายๆสถานการณ์ สโคปด็อกจึงสามารถติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆได้หลากหลาย ที่สำคัญก็คือราวน์มูฟเวอร์สำหรับใช้ในอวกาศและร่มชูชีพสำหรับใช้ทิ้งตัวลงมาจากเครื่องบินขนส่ง

อาวุธติดตัวของสโคปด็อกก็คืออาร์มพันช์ที่เป็นกลไกไฮโดรลิกที่แขนซึ่งใช้กระสุนจุดระเบิดเพื่อส่งแรงกระแทกของหมัดในระยะประชิด อาวุธปืนมาตรฐานของสโคปด็อกก็คือปืนกลหนัก 30มม.ที่ติดเกรเน็ดลันเชอร์เอาไว้ด้วย แต่ก็สามารถใช้งานอาวุธอื่นๆ เช่น บาซูก้า, ไรเฟิลและร็อคเก็ตลันเชอร์ติดไหล่ เมื่อกิลกาเมชได้ประกาศสงบศึกกับบาลาแรนท์ไปแล้ว สโคปด็อกก็ยังมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย รวมถึงมีหลายๆเครื่องที่พลเรือนเอาไปใช้งาน และเนื่องจากสามารถปรับแต่งได้ง่ายจึงมีหลายรูปแบบ

รุ่นย่อยของสโคปด็อกที่สำคัญก็คือ ATM-09-RSC สโคปด็อก เรดโชลเดอร์คัสตอม ซึ่งเป็นของหน่วยเรดโชลเดอร์ ทีมATที่มีชื่อเสียงที่สุดในสงครามร้อยปี สโคปด็อกของเรดโชลเดอร์จะมีลักษณะเด่นคือหัวไหล่ข้างขวาซึ่งทาสีแดง หลังสงคราม อดีตสมาชิกของเรดโชลเดอร์ คิริโก คิววีซึ่งหลบซ่อนการตามล่าของสมาคมลับได้ต่อสู้กับกำลังตำรวจของดาวเมลเกีย วานิลลา วาทลาได้แต่งสโคปด็อกของอารีนาให้คล้ายกับเรดโชลเดอร์เพื่อให้คิริโกใช้งาน โดยมีอาวุธเสริมคือปืนกลแก็ตลิ่งและมิสไซล์สองลำกล้องที่ลำตัว ที่แขนซ้ายติดโซลิดชู้ตเตอร์และมีมิสไซล์ลันเชอร์เก้าลำกล้องติดไหล่ (ตัวนี้มีข้อผิดพลาดนิดหน่อย คือทาสีแดงที่ไหล่ผิดข้าง)

คิริโกและอดีตเพื่อนร่วมทีมเรดโชลเดอร์รวมสี่คนยังเคยแต่งสโคปด็อกเป็น ATM-09-STTC สโคปด็อก เทอร์โบคัสตอมเพื่อใช้ในการสังหารโยลัน ไพล์เซน ผู้ตั้งหน่วยเรดโชลเดอร์ เทอร์โบคัสตอมมีลูกล้อติดเท้าจึงสามารถไถลไปตามพื้นได้ดีกว่าเดิม เทอร์โบคัสตอมแต่ละเครื่องยังติดอาวุธแบบเรดโชลเดอร์โดยเสริมมิสไซล์ลันเชอร์7ลำกล้องและปืนครกไว้ที่ไหล่แต่ละข้าง แขนซ้ายติดปืนกล และที่ลำตัวติดมิสไซล์ลันเชอร์กับปืนแก็ตลิ่ง ซึ่งเทอร์โบคัสตอมทั้งสี่เครื่องถูกทำลายในการต่อสู้กับ X-ATH-P-RSC บลัดซัคเกอร์ของอดีตเรดโชลเดอร์ที่ยังเป็นลูกน้องของไพล์เซน โดยมีคิริโกรอดมาได้คนเดียว



ตามด้วยของเปลี่ยนบรรยากาศ





SPJ-15 ไกรฟ์ และ SPKB-03 แดร็คเค

คู่นี้ก็เป็นศัตรูที่สู้กับไอน์แฮนเดอร์ในภารกิจแรก ณ เมืองหลวงของโซดอม โดยไกรฟ์นั้นเป้นหุ่นยนต์ปราบจราจลของกองกำลังตำรวจของโซดอม ในสภาพปกติ ไกรฟ์จะเก็บลำตัวและแขนไว้ให้คล้ายกับยานโฮเวอร์ขนาดใหญ่ แต่จะกางออกเพื่อเข้าสู่โหมดต่อสู้ ไกรฟ์จะเก็บอาวุธไว้ที่ด้านหลัง ซึ่งอาวุธหลักที่ไกรฟ์ใช้ในการต่อสู้กับไอน์แฮนเดอร์ก็คือปืนกล88มม., ปืนลูกซอง120มม. และเรลแคนน่อน155มม.ซึ่งมีอานุภาพสูงสุดแต่ไม่สามารถยิงได้ต่อเนื่อง ไกรฟ์เข้าปะทะกับไอน์แฮนเดอร์ในเมืองหลวงของโซดอม

ส่วนแดร็คเคเป็นหุ่นยนต์ไร้คนบังคับของโซดอมที่ใช้ป้องกันเมืองจากพวกเร่ร่อนในพื้นที่รกร้างรอบนอก ชื่อแดร็คเค(มังกร)มาจากลักษณะของแขนที่ยาวและดูคล้ายกับหัวมังกร แดร็คเคเป็นหุ่นยนต์รุ่นเก่าของโซดอมและมีAIที่ไม่ค่อยฉลาดนัก (ระดับสติปัญญาพอๆกับสัตว์ป่า) ส่วนมือของแดร็คเคสามารถทิ้งระเบิดเพลิงหรือเร่งความร้อนแล้วฟาดก็ได้ ที่ลำตัวติดตั้งปืนกล60มม.และกันพ็อดยูนิตเอาไว้ แดร็คเคมีอาวุธที่อยู่ในตัวคือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่และปืนสเปรดแคนน่อนซึ่งยิงกระสุนแบบกระจาย ซึ่งเวลาใช้งานต้องพลิกเอาแขนไปไว้ด้านหลัง ไอน์แฮนเดอร์ไปเจอกับแดร็คเคหลังจากฝ่าวงล้อมตำรวจโซดอมและโดนต้อนไปทางออกที่แดร็คเคประจำอยู่



เนื่องจากสองอันข้างบนมีแววแป๊กพอสมควร และไหนๆOGsก็ออกมาแล้ว ขอเอาพวกนี้มาลงขณะที่ยังสดอยู่แล้วกัน (ส่วนของวาลซาคาร์ดยังไม่สมบูรณ์นัก ขออภัยด้วยครับ)









วาลฮอว์ค, วาลสทอร์ค, วาลการ์ด และ วาลซาคาร์ด

หุ่นยนต์และยานที่ตระกูลอาดิกันพบบนดาวอังคารเมื่อ50ปีก่อนและเป็นมรดกตกทอดของตระกูลมาถึง "ตาเหยี่ยว" เบลสฟิลด์ อาดิกันซึ่งใช้เป็นเครื่องมือประกอบอาชีพเทรลเลอร์ (คล้ายกับเปาเปียวของจีนในสมัยก่อน) ชื่อวาลฮอว์คก็คือเหยี่ยว ส่วนวาลสทอร์คก็คือนกปากห่าง แม้จะเป็นโบราณวัตถุแต่ทั้งวาลฮอว์คและวาลสทอร์คต่างก็เป็นเครื่องจักรที่มีวิทยาการล้ำหน้ากว่าเครื่องจักรที่มนุษย์รู้จัก ซึ่งทั้งสองมีชิ้นส่วนที่เป็นแบล็คเทคโนโลยีอยู่เต็มไปหมดและมีพลังในการต่อสู้ในระดับสูง

วาลฮอว์คนั้นโดยปกติจะเป็นโหมดยาน "แอร์ฟอร์ซโหมด" และสามารถแปลงเป็นหุ่นยนต์ "โคลสคอมแบทโหมด" สำหรับต่อสู้ในระยะประชิดตัวได้ (แต่เวลาใช้จริงในเกมดันมีท่ายิงไกลกว่าร่างยาน) วาลฮอว์คมีความสูงถึง32.8เมตรซึ่งนับว่าเป็นเรียลโรบ็อทขนาดใหญ่ อาวุธหลักของวาลฮอว์คประกอบด้วยเลเซอร์วัลแคน, ปืนบีมช็อตลันเชอร์ และ ดาบเรย์เบลด ในแอร์ฟอร์ซโหมดนั้นสามารถใช้สนามพลังความร้อนหุ้มตัวเองแล้วพุ่งชนได้ ส่วนในโคลสคอมแบทโหมดสามารถดึงพลังงานจากพลาสม่าไดรฟ์ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานยิงโจมตี เรียกว่าพลาสม่าเอ็กซ์คิวชัน และที่เท้ามีใบมีดความร้อนสำหรับใช้เตะเพื่อล็อกตัวเองกับเป้าหมาย นักบินของวาลฮอว์คก็คือลูกชายคนเดียวของเบลส คาสึมะ อาดิกันโดยมีน้องสาว มิฮิโระ อาดิกันเป็นผู้ช่วย ซึ่งคาสึมะสามารถใช้อาวุธทั้งหมดของวาลฮอว์คได้ในการโจมตีครั้งเดียว เรียกว่าเจดโฟลวชัน

ส่วนวาลสทอร์คนั้นเป็นทั้งบ้านและยานแม่ของครอบครัววาลสทอร์ค วาลสทอร์คนับเป็นยานขนส่งแต่ก็มีพลังในการต่อสู้ไม่แพ้ยานรบ นอกจากเบลสซึ่งเป็นกัปตันแล้ว ลูกเรือวาลสทอร์คก็ประกอบด้วยโอเปอเรเตอร์ ชิโฮมิ อาดิกัน พี่สาวคนโต, พลปืน อาคาเนะ อาดิกัน พี่สาวคนรอง และ พลขับ โฮริส โฮไรอัน (โฮริสนั้นเดิมทีเป็นสายลับของOZที่เข้ามาเก็บข้อมูลของวาลสทอร์ค แต่เกิดผูกพันธ์กับครอบครัววาลสทอร์คขึ้นมาเลยไม่ยอมไปไหน) แถมด้วยหุ่นยนต์แม่บ้าน กาเร็ตซึ่งถูกพบในวาลสทอร์คตั้งแต่50ปีก่อน เครื่องกำเนิดพลังงานของวาลสทอร์คก็คือโปรตอนไดรฟ์ ส่วนอาวุธต่างๆประกอบด้วยตอร์ปิโดอวกาศ, ไมโครมิสไซล์นำวิถี, บีมลันเชอร์และดูออลโปรตอนแคนน่อน ครอบครัววาลสทอร์คเป็นกำลังสำคัญของกลุ่มเวลเดอร์ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของกองกำลังรักษาความสงบต่างๆ (GGG, มิธริล, พรีเวนเตอร์, สเปซไนท์)

ซึ่งระหว่างที่ร่วมกับเวลเดอร์นี้ ความลับสองประการของวาลสทอร์คและวาลฮอว์คได้เปิดเผยออกมาในสถานการคับขัน อย่างแรกก็คือวาลฮอว์คสามารถประกอบกับดูออลโปรตอนแคนน่อนเพื่อรวมพลังงานให้รุนแรงขึ้นได้ และ "แพทเทิร์นครอส" ซึ่งวาลฮอว์คจะรวมร่างกับวาลสทอร์ค กลายเป็นหุ่นยนต์ "วาลการ์ด"ที่สูงถึง85.8เมตร ซึ่งในสภาพนี้วาลฮอว์คจะเป็นแกนกลางและศูนย์ควบคุมหลักของวาลการ์ด ส่วนท่อขับดันหลักของวาลสทอร์คจะเป็นส่วนขาและตอนหน้าจะแยกออกเป็นส่วนแขนโดยบีมลันเชอร์จะเป็นมือทั้งสองข้าง ซึ่งวาลการ์ดสามารถใช้งานอาวุธทั้งหมดของวาลสทอร์คได้ตามปกติ สำหรับโปรตอนแคนน่อนนั้นจะใช้มือเสียบเข้าไปแล้วยิงจากภายในเป็นไม้ตาย "โคลสโปรตอนบานิชเชอร์" วาลการ์ดถูกใช้งานครั้งแรกเพื่อสู้กับอาลุมอาคัสของอาเรีย แอดวานซ์ จนกระทั่งภารกิจการหยุดเหตุการณ์วาเลนไทน์เลือด ซึ่งวาลสทอร์คถูกสคิเอนเทียของอินเฟอเรนซ์โจมตีระหว่างออกจากโลก แม้ว่าในที่สุดวาลสทอร์คจะรอดมาได้ด้วยการสละชีพของออร์กัน แต่เบลสและคาสึมะก็หายสาปสูญไป เวลเดอร์ที่สูญเสียกำลังสำคัญส่วนใหญ่ไปก็ได้สลายตัวไปเช่นกัน

ความจริงก็คือเบลสนั้นถูกอวกาศที่บิดเบี้ยวจากการปะทะกันของลำแสงซาลุสลูเมนของสคิเอนเทียและอังก์แอทแท็คของออร์กันส่งไปในอดีตเมื่อหนึ่งหมื่นห้าพันล้านปีก่อน (แสงวาเลนไทน์เลือดในWไม่ได้หมายถึงการระเบิดยูเนียส7 แต่หมายถึงลำแสงซาลุสลูเมนของสคิเอนเทียและอังก์แอทแท็คของออร์กันนี่เอง) ซึ่งเบลสได้พบกับ "เอส" เผ่าทรงปัญญาแห่งอดีตกาล แม้จะหมดหวังที่จะได้กลับไปพบหน้าลูกๆ แต่เบลสก็ได้ร่วมมือกับเอส สร้าง"เดอะดาต้าเบส" กลุ่มโปรแกรมมีชีวิตที่ทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวทั้งหมดของอารยธรรมต่างๆไว้ โดยสมาชิกส่วนใหญ่ของดาต้าเบสนั้นก็ใช้บุคลิกของเบลสและครอบครัวเป็นต้นแบบ (มียกเว้นก็คือคริติคคนเดียว) เพื่อป้องกันกรณีที่เดอะดาต้าเบสทำงานเกินขอบเขต เบลสจึงได้สร้างวาลฮอว์คและวาลสทอร์คไว้เป็นแอนติโปรแกรมเพื่อให้พวกคาสึมะสามารถหยุดเดอะดาต้าเบสได้ ซึ่งเอสได้ตั้งโปรแกรมส่งยานทั้งสองไปนอกกาแล็กซี่ก่อนจะกลับมาให้บรรพบุรุษของเบลสค้นพบเมื่อ50ปีก่อน

ครึ่งปีหลังจากวาเลนไทน์เลือด ครอบครัววาลสทอร์คที่เหลือก็ยังคงทำงานเป็นเทรลเลอร์เหมือนเดิม โดยชิโฮมิเป็นกัปตันแทนเบลสและมิฮิโระได้ควบคุมวาลฮอว์คด้วยตัวคนเดียว จนกระทั่งคาสึมะซึ่งไปร่วมทีมกับทหารรับจ้างเซอเพนท์เทลได้กลับมาและเป็นนักบินหลักของวาลฮอว์คตามเดิม ครอบครัววาลสทอร์คได้เป็นส่วนหนึ่งของ"นออิเวลเดอร์"ที่ตั้งขึ้นใหม่อีกครั้ง รวมถึงได้ปะทะกับอาเรียและเดอะดาต้าเบส (ความผิดปกติของเดอะดาต้าเบสมาจากคริติคซึ่งต้องการรวบรวมข้อมูลของทุกๆอย่างโดยสมบูรณ์ จนกระทั่งทำให้เกิดความวุ่นวายต่างๆเพื่อการเก็บข้อมูลเท่านั้น) จนกระทั่งในการต่อสู้ครั้งสำคัญกับยานอาลุมสโทราของอพลิคันท์ วาลสทอร์คจึงได้รับความเสียหายอย่างหนักส่วนวาลฮอว์คถูกจับไป

แต่ด้วยความช่วยเหลือของเรกิวเลท หนึ่งในเดอะดาต้าเบสที่รู้สึกถึงความไม่ถูกต้องจึงสามารถหนีมาได้ โดยเรกิวเลทยังพาอาลุมสโทราและอาเรียกับอาลุมอาคัสไปด้วย และเมื่อทั้งหมดถูกโจมตีโดยอพลิคันท์ กาเร็ตจึงได้ปลดล็อกความลับสุดท้าย "แพทเทิร์นไฟนอล" โดยอาลุมสโทราจะรวมร่างกับวาลฮอว์คและวาลสทอร์ค เป็นเกราะปกคลุมและแขนขาของ "วาลซาคาร์ด" ซึ่งมีความสูงถึง212.7เมตร (นับเป็นตัวเอกออริจินัลที่มีขนาดใหญ่ที่สุด) และโปรตอนไดรฟ์ก็จะเพิ่มพลังขึ้นมาเป็น"โปรตอนโนวาไดรฟ์" ส่วนอาลุมอาคัสจะแปลงร่างเป็นอาวุธของวาลซาคาร์ด (ขยายขนาดได้อย่างไรยังไม่ทราบ) โดยมีสองรูปแบบคือ"เบรคเกอร์โหมด" ซึ่งเป็นดาบผ่ามิติ "ไดเมนชันเบรคเกอร์" และ"ไฟนอลโหมด" ซึ่งเป็นโล่กับธนู "เอ็กซาโนวา" เนื่องจากความเสียหายของวาลสทอร์คนั้นหนักมาก วาลซาคาร์ดจึงไม่สามารถแยกร่างออกมาได้อีก พวกคาสึมะได้ใช้วาลซาคาร์ดในการต่อสู้กับเดอะดาต้าเบสจนถึงศึกสุดท้าย





ปล.Gunota Headlinesแจ้งข่าว A.C.E.3แล้ว...ยังลงPS2 ขอบคุณพระเจ้า...
Super Robot Wars Games Mecha Story

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา