พระเจ้ากลั่นแกล้ง...

:: 12th scene ::



ผมยืนนิ่งเป็นหุ่นไล่กา จ้องหน้าคนป่วยนั่งทำหน้าเอ๋ออยู่บนเตียง



เมื่อกี้... พูดอะไรออกไปวะ??



“คุณจะ... ขอผมแต่งงานเหรอ?” คู่สนทนาทวนคำพูดของผมช้าๆ ท่าทางเหมือนยังไม่เข้าใจ แต่ไหงสีหน้ากลับมีเลือดฝาดขึ้นมาทันที

“ก็... คือ... ไงล่ะ โอ๊ยยย งงเว้ย คือชั้นหมายถึง .... แบบว่า”

“คุณจะแต่งงานกับผมใช่มั้ย” คราวนี้ใบหน้าเริ่มปรากฏรอยยิ้มทีละน้อยๆ จนเริ่มกลายเป็นยิ้มกว้าง

“เดี๋ยวนะ ชั้นยังไม่ตั้งตัว”

“เอย์จิ!! ผมดีใจที่สุดเลย” พูดจบก็โผเข้ากอดผมซะงั้น แถมรัดซะเต็มแรงยังกะงูเหลือมที่กำลังจะเขมือบเหยื่อ โอย.. กระดูกจะหักแล้ว เจ้าข้าเอ๊ย คนอะไรแรงเยอะชิบ

“คุณก็รักผมใช่มั้ย เหมือนที่ผมรักคุณใช่มั้ยเอย์จิ” เสียงของฮารุกะนั้นเริงร่าเต็มที่ แถมยังเพิ่มแรงกอดจนผมหายใจไม่ออก อามิเอ๊ย พี่กำลังจะตามไปอยู่กับแกแล้ว อ่อก...

“เฮ้ย ฟังชั้นก่อน ชั้นยังไม่ได้พูดแบบนั้นซักหน่อย หยุดนัวเนียชั้นก่อนสิวะ! เอามือไปจับตรงไหนอยู่นั่นน่ะ!” ผมรีบดันตัวออกห่างจากคนตรงหน้าที่กำลังจะลุกล้ำอาณาเขตสงวนของผม ....... อย่าเพิ่งคิดลึก เจ้านั่นยังไมได้ล้วงมือเข้ามาใต้ร่มผ้าซะหน่อย

“เอ่อ... ขอโทษครับ ผมดีใจไปหน่อย” ฮารุกะถอยออกไปนั่งจ๋อยคอตกอยู่ที่เดิม เออ.. แบบนี้สิถึงดูเป็นคนป่วยหน่อย

“ไงดีล่ะ ขอชั้นรวบรวมความคิดก่อนนะ”



ผมใช้เวลานั่งคิด นอนคิด เดินคิด ตีลังกาคิด(ไม่ถึงขนาดนั้นว้อย)อยู่เป็นวัน ผมไม่เคยรู้ตัวเลยว่า... ผมคิดยังไงกับเจ้าฮารุกะกันแน่ มันก็แค่เข้ามาทำตัววุ่นวายไปวันๆ ปั่นหัวผมเล่นไปวันๆ พอมีคาริน แฟนเก่าของผมเข้ามาอีกคน ความรู้สึกเดิมๆย้อนกลับมาอีกครั้ง แต่ว่า... ยังไงมันก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ความสับสนในจิตใจ ความรู้สึกว้าวุ่น และอะไรต่อมิอะไรที่ประดังประเดเข้ามา ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ผมเพียงแค่ไม่อยากยอมรับมัน ไม่อยากยอมรับสิ่งที่ปฏิเสธมาตลอด



ก็แค่.... ไม่อยากยอมรับว่า...



“ชั้นก็ยังไม่เข้าใจดี ถึงชั้นจะพูดไปแบบนั้น ทั้งๆที่ชั้นเองก็มีคารินอยู่แล้ว...” คำพูดของคาวามูระ เอย์จิ ทำเอาชายหนุ่มเจ็บแผลที่หน้าผากขึ้นมาจี๊ดๆ พลางคิดไปว่า คนที่ไม่เข้าใจคือเขาต่างหาก

“งั้นคนที่คุณรักคือใครล่ะ” คำพูดของคุโรยานางิ ฮารุกะทำเอาหนุ่มวัย 20 ปีกับอีก 4 เดือนปวดหัวตึ๊บ

“ไม่รู้เหมือนกัน ชั้นเองก็อยากพิสูจน์” คาวามูระ เอย์จิ อืม... แล้วนี่ผมจะบอกชื่อเต็มไปเพื่อ?? ผมอยากลองทำบางสิ่งบางอย่างซึ่งจะทำให้ผมได้รู้ว่า สิ่งที่ผมคิดนั้น มันใช่หรือไม่

“ยังไงล่ะ” คนป่วยเอียงคอมองอย่างงงๆ



การค้นหาความแตกต่าง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้เรารู้ว่า อะไรคือสิ่งที่ใช่สำหรับเรา



ผมค่อยๆบรรจงสัมผัสผิวเนื้อนุ่มนิ่มสีชมพูเข้มด้วยริมฝีปากตัวเองอย่างเบาๆ ราวกับกลัวกว่ามันจะแตกสลาย ทันทีที่สัมผัส ความรู้สึกบางอย่างก็แล่นเข้ามาเหมือนกับกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน



ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อย ผมสามารถมองเห็นดวงตาคู่งามเปล่งประกายวูบวาบหวั่นไหวของฮารุกะได้เป็นอย่างดี



ใช่แล้วล่ะ ผมเจอแล้ว ผมค้นพบแล้วว่า เข็มทิศของตัวเองมุ่งไปทางไหน (เข็มทิศนะครับ ไม่ใช่ไอ้นั่น)



“ตกลงจะแต่งงานกับชั้นมั้ย” ผมถือโอกาสขอแต่งงานดื้อๆ ในขณะเดียวกับกำแพงมหึมาที่ผมสร้างขึ้นเองค่อยๆพังทลายลงมาไม่มีชิ้นดี เอาวะ... อย่างน้อยถ้าผมชิงพูดแบบนี้ก่อน คนที่เป็นเจ้าบ่าวก็ต้องเป็นผม วะฮ่ะฮ่า ล้ำเลิศๆ

“อื้อๆๆ แต่งครับแต่ง” ฮารุกะพยักหน้าถี่ๆ จนผมกลัวว่าจะคอหลุดซะก่อน เราสองคนส่งยิ้มให้แก่กันแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างเขินๆ หนุ่มหน้าหวานหลบสายตาโดยก้มลงมองอะไรก็ไม่รู้ข้างล่าง ชิ... ทีงี้มาทำเป็นอาย ก่อนหน้านี้ไม่ยักกะสน หอมแก้มคนอื่นหน้าตาเฉยยังทำได้เลย

“นี่... ขอลองดูอีกทีได้ป่ะ”

“หืม?” ฮารุกะเงยหน้าขึ้นตอบ แล้วมองผมเหมือนสงสัยว่าต้องการอะไร เอ่อ... ขอชี้แจงก่อนว่าผมไม่ได้หื่นนะ แค่อยากลองเพื่อความมั่นใจอีกที แบบว่า... เอาให้ชัวร์ว่ากูเลือกไม่ผิดแน่ๆ ไม่งั้นผมคงเสียใจไปจนตายที่เปลี่ยนเลนชีวิตมาวิ่งสายนี้



อ้อมแขนกว้างกอดกระชับคนในอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ระยะห่างระหว่างใบหน้าค่อยๆลดลงจนปะทะกันบริเวณใต้จมูก ทั้งสอง (แน่นอนว่าคือผมกับเขา) ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านทางการจุมพิตเนิ่นนานกว่าเมื่อครู่ ความรู้สึกเบาสบายผสมกับความรู้สึกปลอดโปร่งราวกับล่องลอยอยู่เหนือปุยเมฆ ทำให้ผมเน้นย้ำบดจูบให้ลึกยิ่งขึ้น



น่าประหลาดที่ทำถึงขนาดนี้แต่ไม่ยักกะรู้สึกอยากสานต่อ?? (พูดตรงๆคือ ไม่เห็นจะอยากบำเรอเอย์จิน้อยให้มัน xxx และ xxx) หรือว่าผมจะตายด้านไปแล้ว - -“ แต่คำตอบจริงๆซึ่งผมเองก็รู้อยู่เต็มอกนั้นก็คือ... เพราะมันไม่ใช่ความใคร่ มันเป็นสิ่งที่ผมทำลงไปตามหัวใจเรียกร้องโหยหา และสิ่งๆนั้นก็คือ การเปิดเผยความรู้สึกแท้จริงให้คนสำคัญได้รับรู้



เปิดมันออกมาให้เต็มที่เลย...



เสียงหายใจทั้งสองแทบจะเป็นจังหวะเดียวกัน...



เสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะแห่งรักชัดเจน (อ้วก)



แล้วเสียงเปิดประตู”จริงๆ”ก็เรียกสติผมกลับมา



“ฮารุกะ แม่เข้าไปนะ อ้าว คุณเอย์จิ ทำอะไรอยู่คะ” คุโรยานางิคนแม่เอ่ยทักผมที่กำลังยืนกระโดดตบอย่างขมีขมัน - -

“เอ่อ...คือ.. ออกกำลังกายไงครับ แบบว่า... ทำแทนเจ้าฮารุกะที่นอนนิ่งอยู่ไง แหะๆ” คำแก้ตัวขุ่นคลั่กเชียว

“มีอะไรเหรอครับคุณแม่” ฮารุกะถามออกไปทั้งๆที่หน้าตัวเองยังแดงก่ำ

“เดี๋ยวแม่กับพ่อต้องเข้าไปที่บริษัทน่ะจ้ะ พอดีมีลูกค้าใหญ่มาจากต่างประเทศ”

“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมดูแลตัวเองได้ เดินทางดีๆนะครับ” ชายหนุ่มส่งยิ้มน้อยๆให้กับบุพการีที่ค่อยๆปิดประตูจากไป “เอย์จิก็เลิกกระโดดได้แล้วล่ะครับ”

“อ้า เหรอ แหม วันนี้อากาศดีจังนะ ฮะๆๆๆ” ผมหัวเราะแก้เก้อ

“ทำแบบนั้นมันตลกน่ะ” เขาหันมาทางผมพลางกลั้นหัวเราะเต็มที่

“ก็ทำไปแล้วนี่หว่า” ผมยืดอกรับอย่างภูมิใจ(?) ก่อนที่เราสองจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย



*-*-*-*-*-*-*-*-*-*



“ด้วยประการฉะนี้ กระผม คาวามูระ เอย์จิ อายุ 20 เลือดกรุ๊ป A ขอกราบประธานอภัยอย่างยิ่งยวดต่อคุณมินามิโนะ คาริน ที่ไม่อาจสานต่อความสัมพันธ์ได้...”

“นี่... ไม่ต้องพูดเหมือนเขียนเอกสารทางการก็ได้นะ” สาวมั่นวัย 20 พูดเสียงดุๆใส่หน้าผมที่นั่งตัวลีบอยู่ตรงข้าม



เราสองคนกำลังอยู่ในร้านไอศกรีมเจ้าประจำ (ไม่มีที่อื่นแล้ว??) ผมนัดคารินออกมาแฉ เอ๊ย มาเพื่อเล่าความจริงทั้งหมด ไหนๆผมก็เลือกหนทางสู่การครองคู่ฉันสามีภรรยาซะแล้วน่ะนะ

“สรุปคือเอย์จิจะเลิกกับชั้น แล้วไปแต่งงานกับคุณหนูฮารุกะนั่น อย่างนั้นใช่มั้ย” คารินยังคงกอดอกพูดกับผมเหมือนยากูซ่าทวงหนี้

“ขอรับกระผม” ผมอยู่ในท่าเตรียมพร้อมรับศึกทุกขณะจิต เวลาคารินโมโหล่ะก็ ไม่ว่าอะไรก็ฉุดไม่อยู่ ผมเองก็ทำใจรับเรื่องนี้มาเต็มที่ เอาวะ... จะต้องโดนอะไรก็ยอม แล้วค่อยไปแก้แค้นกับตัวการอีกที ;D (ตัวการ = ฮารุกะ)

“เอาเหอะ เข้าใจละ” เสียงเข้มนั้นอ่อนลงในทันที “ชั้นเองก็รู้สึกเกินคาดนิดหน่อยที่เอย์จิยอมคืนดีด้วย ชั้นเองก็มีเรื่องอยากบอกเอย์จิเหมือนกัน คือ... จริงๆชั้นมีแฟนที่อิตาลีอยู่แล้วน่ะ แล้วชั้นทะเลาะกับเค้าเลยหนีกลับญี่ปุ่น ทำแบบนี้กับเอย์จิก็ไม่ดีเหมือนกันนะเนี่ย เหมือนใช้เป็นตัวแก้ขัดเลย แหะๆ”



เฮือก.... เกือบไปแล้วมั้ยกู มิน่าล่ะรู้สึกทะแม่งๆ ยังไงชอบกล ที่แท้ก็หลบมาเลียแผลใจโดยใช้ข้าพตูเป็นของเล่น ฮืออออ... ชีวิตเอย์จิคุง ช่างเศร้านัก



“ก็...เอาเหอะ ถือว่าเจ๊ากันไปละกัน” ผมยืดตัวขึ้นอย่างมั่นใจเหมือนได้ไพ่เหนือกว่า “ชั้นเองก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว ไอ้ตอนแรกก็โดนบังคับฝืนใจอยู่หรอก ไปๆมาๆดันหลงรักจนได้ เฮ้อ...”

“น่าอิจฉาจัง ได้ไปเป็นลูกเขยตระกูลใหญ่ขนาดนั้น หนูตกถังข้าวสารชัดๆ พี่โทโมโกะก็บอกว่าคุณหนูนั่นสวยเอาเรื่องนี่ แถมเรียนเก่งอีก ช่างเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมซะจริง”



ความจริงอย่างเดียวที่ผมไม่ได้บอกคารินคือ ฮารุกะเป็นผู้ชาย - -“ ขืนบอกไปว่าโดนบังคับให้แต่งงานกับผู้ชาย แถมตัวผมเองเสือกเป็นเจ้าสาวอีก มีหวังยัยคารินหัวเราะจนโลกแตกแน่



“แล้ว... จะกลับไปที่นู่นเมื่อไหร่ล่ะ” ผมลองถามคารินดู ถ้าเธอคิดจะกลับไป แสดงว่ายอมคืนดีกับแฟนแล้ว

“ก็คงไม่กี่วันนี้มั้ง เสียดายจัง ไม่ทันได้ไปงานแต่งของเอย์จิเลย อีก 2 อาทิตย์ใช่ม้า”

“ไม่เป็นไรๆ คงไม่ได้จัดใหญ่โตอะไรหรอก” เหอๆ ก็ว่าไปงั้น ไม่ยอมให้มาหรอก งานที่ผมเป็นเจ้าสาวน่ะ

“แล้วจะส่งของขวัญมาให้ทีหลังนะ”

“ขอเป็นเฟอรารี่ซักคันได้ป่ะ”

“บ้า เอาเศษเฟอร์ที่เสื้อชั้นไปแทนละกัน”

“5555”



เรานั่งหัวเราะกันอย่างมีความสุขในเส้นทางที่ต่างคนต่างเลือก ถึงแม้จะไม่ได้ร่วมเดินไปด้วยกัน แต่เราก็ยังคงหันมามองหากันได้เสมอ



คนที่ผมจะร่วมใช้ชีวิตด้วยกันต่อจากนี้ไป...



คนคนนั้น....



“เอย์จิ สอบวันสุดท้ายเป็นไงมั่ง” ชายหนุ่มหน้ามนรีบถลาเข้ามาหาผมทันทีเมื่อเห็นผมก้าวออกมาจากรั้วมหาลัย

“ถึงฆาตแน่ ไม่อยากจะนึกถึงตอนเกรดออกเล้ย” ผมกุมหัวที่ปวดตึ้บๆเพราะข้อสอบเจ้ากรรม ตอนอาทิตย์ก่อนสอบมัวแต่ยุ่งๆกับเรื่องคารินและฮารุกะจนแทบไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ (เคยมีสมาธิกะเค้าด้วยเรอะ) จนในที่สุดก็มาสอบด้วยหัวสมองโล่งๆ .................... ก็ไม่โล่งนักหรอก มีเจ้าฮารุกะเข้ามาป้วนเปี้ยนบ้างเป็นบางเวลา - -



“ก็ไม่ต้องนึกถึงมันซี่ ดูอย่างผมเป็นตัวอย่างไง” ฮารุกะชี้หน้าระรื่นของตัวเอง

“แหงสิ ไอ้คนเรียนเก่ง อัจฉริยะ เลิศล้ำ เด็กโทไดอย่างนายจะไปเข้าใจอะไรกับความรู้สึกของคนธรรมดาอย่างชั้น”

“อ่า... งั้นไปหาอะไรทำให้หายเครียดดีกว่านะ เอางี้ ไปดูชุดที่จะใส่วันแต่งงานกันมั้ย เห็นแม่ผมบอกว่าทำเสร็จแล้ว” เขายิ้มกว้างอย่างเคยพลางลากแขนให้เดินตามต้อยๆ

“จะเห่อไปไหน อีกตั้งหลายวัน”

“อื้อ ไม่หลายวันนะ อีกแค่ 3 วันเอง”

“ตั้ง 3 วันเฟ้ย” ผมเถียงหน้าด้านๆเหมือนอยากหาเรื่อง

“แค่ 3 วันต่างหาก”

“ตั้ง 3 วัน!”

“แค่ 3 วัน!”



ผมกับฮารุกะเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่อง ซึ่งมันก็เป็นปกติของเราไปซะแล้ว แต่ไม่ทันไรเราทั้งคู่ก็หัวเราะออกมา ก่อนจะเงียบกันไปทั้งคู่



“นี่... เอย์จิ” ฮารุกะเรียกผมทั้งๆที่ยังก้มหน้าอยู่

“อืม” ผมตอบเบาๆในขณะยืนมองสัญญาณไฟให้ข้ามถนนที่ยังเป็นสีแดง

“เอย์จิ” เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้น

“อะไร” ผมหันมาหาคนข้างตัวที่ยืนทำท่าอึกอักเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง

“เอ่อ... ไม่มีอะไร” พูดตอบแล้วก็หันไปอีกทาง เอ๊อ... อะไรของเค้า

“อ๊ะ ไฟเขียวแล้ว” ขาผมก้าวไปได้สองก้าวก็หยุดกึก เมื่อฮารุกะไม่ยักกะเดินตามมาด้วย

“......” มีเพียงสายตาส่งออกมาสื่อแทนความหมาย แน่ะ... ทำยังกะผมอ่านใจเขาได้ จะบ้าเรอะ ไม่ใช่ผู้มีพลังจิตซักหน่อย



ไฟกระพริบส่งสัญญาณให้ระวัง ในที่สุดไฟแดงก็สว่างขึ้นอีกครั้ง



ผมกับฮารุกะยังคงยืนอยู่ที่เดิมท่ามกลางผู้คนมากมาย มือของผมกุมมือข้างซ้ายของฮารุกะไว้



ไฟเขียวครั้งหน้า เราจะเดินจับมือไปด้วยกัน...



เดินไปด้วยกัน ตลอดไป...





----The End----



เสริมท้าย ตามระเบียบ



สำหรับเรื่องนี้ ก็วางให้เรื่องมันจบที่ตอน 12 น่ะแหล่ะ คิดว่าน่าจะโอเคแล้วเพราะแฮปปี้เอนด์ดิ้งตามมาตรฐานนิยายรักโรแมนติก(?) แต่มันยังค้างคาใจอยู่ดีเพราะยังไม่มีฉากเลิฟๆ(ฉากเรทว่างั้นเหอะ)ของคู่นี้ ก็เลยเพิ่มอีกซักตอนดีกว่า *-*



ตอนต่อไป Marry me :: Love scene:: บทสรุปของฉากรักจะเป็นเช่นไร ติดตามได้... คิดว่าคงไม่ใช่เสาร์หน้าตามปกติหรอก ว่างเมื่อไหร่ก็มาโพส ;D โฮะๆๆๆ (ได้ข่าวว่าไม่มีวันหยุดอีก 2 อาทิตย์??)



ปล. มีตรงไหนพิมพ์ผิดก็บอกๆกันมั่งนะ อ่านหลายรอบจนจำเนื้อเรื่องได้ เลยมองไม่ค่อยเห็นที่พิมพ์ผิด (อ่านผ่านๆ??)





--------------------

Fiction

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา