ง่า ขอโทษทีอย่าอ่านอันข้างล่างของเรานะ คือมันผิดนิดหน่อย(ไม่นิดแล้วว)อ่านอันนี้ดีก่าจ่ะ

Type :: ShonenAi รึจะให้ Yaoi ดี -*-

Rate :: PG-13 ก็ได้มั้ง

Etc. :: เน่า เลี่ยน แอบปัญญาอ่อน อารมณ์เหมือนอ่านการ์ตูนวายเกรดสามที่ไม่มีภาพ





++++++++++++++



Marry Me



::First scene::



“หา!? จะให้ผมแต่งงานกับคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนงั้นเหรอ??”



ผมนั่งเหวอบนเก้าอี้ทานข้าว มือที่ถือช้อนอยู่ค้างเติ่งกลางอากาศ สมองน้อยๆความเร็วเทียบเท่าเต่าขาแพลงคลาน กำลังพยายามลำดับเรื่องราวที่ได้ยิน

“ถึงยังไม่เคยเจอแต่เดี๋ยวก็ได้เจอแล้วแหล่ะลูกเอ้ย ไม่ต้องห่วง” เอ่อ... ไอ้ที่ผมห่วงไม่ใช่เรื่องนั้นครับแม่

“แต่ว่า... นี่มันคลุมถุงชนนะ ในยุคดิจิตอลที่เทคโนโลยีพัฒนาเร็วกว่าจิตใจมนุษย์น่ะ มันยังมีเรื่องแบบนี้อีกเหรอ??” ผมยังคงเซ้าซี้ถาม แต่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมกลับไม่สะทกสะท้านซักนิด

“เรื่องนั้นแม่ก็บอกไปแล้วไง ว่ามันเป็นคำมั่นสัญญาที่คุณปู่ของลูกได้ให้ไว้กับเพื่อนรักเมื่อสมัยก่อน เป็นหลานที่ดีก็ต้องรักษาสัญญาที่บรรพบุรุษทิ้งไว้สิจ๊ะ” แม่ผมยังคงสาธยายเรื่องน้ำเน่าที่ราวกับหลุดมาจากนิยายเกาหลีขายดีด้วยท่าทางสบายอาร

มณ์

“นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะแม่!!” ผมออกอาการฟึดฟัดทิ้งช้อนลงบนจาน .......... แต่พอนึกขึ้นได้ว่าในช้อนมีของอร่อยก็ตักใส่ปากเคี้ยวๆ ต่างกับท่านแม่ที่ยังคงความสุขุมพูดเรื่องแปลกๆได้หน้าตาเฉย



มันแปลกสิ แปลกมากๆด้วย ไอ้เรื่องสัญญาทำนองที่ว่าเพื่อนรักจะให้ลูกของตนมาแต่งงานกัน ผมนึกว่ามันมีแค่ในละครซะอีก ไม่นึกว่ามันจะมีจริงๆ แถมมาเกิดขึ้นกับหนุ่มนักศึกษาวัยคะนองที่ยังไม่คิดจะจริงจังกับชีวิตอย่างผมเนี่ยนะ

!? ข่าวร้ายนี้มาเยือนในค่ำวันศุกร์ช่วงที่ผมกำลังมีความสุขกับมื้อเย็นในบ้านเช่าหลังเ

ล็กๆซึ่งมีผู้อยู่อาศัยเพียงสองคน



“ผมไม่เอาด้วยอ่ะแม่ ใครอยากแต่งก็ไปแต่งเองดิ่” หัวยุ่งๆของผมส่ายดิกๆ แล้วจ้วงเนื้อย่างที่นานๆจะมีทีเข้าปาก

“ไม่คิดบ้างรึไงว่าตัวเองโชคดีขนาดไหนที่ได้ตกร่องปล่องชิ้นกับทายาทตระกูลคุโรยานางิผู้สูงส่งน่ะ คุณหนูฮารุกะออกจะเพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง” ว่าแล้วแม่ก็หยิบรูปดูตัวที่ซุกเอาไว้ตรงไหนไม่รู้กับโพยยาวยืดที่อุตส่าห์ไปหาข้อมูลมาอ่าน “ตอนนี้กำลังศึกษาในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว โอ้ว... เด็กโทไดนะลูก เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อังกฤษ 1 ปี ว้าว.. งั้นภาษาก็ต้องเก่งแน่ๆ ชงชา จัดดอกไม้ เคนโด้ คาราเต้ เทควันโด้ ยิงธนู เป็นทุกอย่าง อู้.. เพอร์เฟ็ค อีกทั้งยังมีรูปโฉมงดงาม กิริยามารยาทงามสง่าสมกับเป็นลูกหลานตระกูลซามูไร เวรี่กู๊ดดดดด” พูดไปก็ทำท่าปลาบปลื้มไปด้วยยังกะเป็นลูกของตัวเอง แต่ผมสิ ยิ่งฟังยิ่งขนลุก คนแบบนี้มีอยู่ในโลกด้วยเหรอวะ เก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊แบบที่ยังไงๆผมก็สู้ไม่ได้ เรื่องอะไรจะเอาคนแบบนี้มาทำเมี... เอ๊ย เรื่องอะไรจะยอมแต่งงานกับคนแบบนี้ ฮึ!

“แล้วทำไมสัญญาที่ปู่ไปตกลงไว้ต้องมาลงกับผมด้วย จะบอกว่าเพราะลูกของปู่ซึ่งก็คือพ่อผม กับลูกของเพื่อนปู่เป็นผู้ชายเหมือนกันเลยแต่งงานกันไม่ได้ใช่มั้ย?? ก็เลยต้องมาถึงรุ่นหลานซึ่งก็คือผม! แต่ปู่ก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้วนี่ ทำไมจะต้องจริงจังกับมันขนาดนี้ด้วย หึ.. ต่อให้คุณหนูที่แม่ว่าจะสวยเริ่ดเพอร์เฟ็คขนาดไหน ผมก็ไม่คิดจะเอาตัวเข้าไปยุ่งด้วยหรอกนะ” ผมลุกขึ้นเก็บจาน กะเข้านอนเลย หวังว่าจะได้หลับๆให้มันลืมๆไปซะ เรื่องบ้าๆแบบนี้ ผมจะคิดว่าไม่เคยได้ยินก็แล้วกัน



แล้วทำไมผมถึงไม่ยอมรับการแต่งงานกับคุณหนูผู้เลอเลิศคนนั้นล่ะ ทั้งๆที่แม่ผมก็ภูมิใจนำเสนอขนาดนั้น?



ผมมีแฟนอยู่แล้วเรอะ?? ก็เปล่า (ถ้าเมื่อครึ่งปีก่อนล่ะก็ใช่... T T)

ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว เลยไม่อยากให้เค้าเข้าใจผิด?? ก็ไม่ใช่อีก

ผมเป็นกระเทย แต่งงานไม่ด้าย~~ อันนี้ยิ่งไม่ใช่ใหญ่



ผม คาวามุระ เอย์จิ อายุ 20 ยังเรียนมหาลัยแค่ปี3 (แค่?) ยังมีเรื่องที่อยากทำมากมาย อยากมีอิสรเสรีกับชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่ แล้วนี่ต้องเอาตัวมาผูกมัดกับการแต่งงานน่ะนะ! ฝันไปเหอะ แล้วผมก็ไม่ค่อยถูกโรคกับพวกชนชั้นสูงซะด้วย พวกที่มีเงินมากจนไม่รู้ว่าจะเอาไปผลาญกับอะไรดีน่ะ ผมล่ะเกลี๊ยดเกลียด (รึเพราะผมจน??)



“แม่ไปบอกคุณหนูฮารุกะนั่นด้วยละกันนะว่า ผมปฏิเสธ เชิญคุณเธอใช้ชีวิตวัยสาวให้เต็มที่ รึจะไปแต่งงานกับใครก็เชิญ” ผมเดินออกจากห้องกินข้าวซึ่งรวมห้องนั่งเล่นและห้องรับแขกไว้ในตัว (สรุปคือมีห้องเดียว) โดยมีแม่เดินตามมาข้างหลัง

“แต่แม่บอกเค้าไปแล้วว่าจะพาลูกไปพบพรุ่งนี้”

“ห๊ะ?”

“แล้วความจริงคุณหนูฮารุกะก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงด้วย เค้าเป็นทายาทคุโรยานางิรุ่นที่ 27 เป็นลูกชายคนเดียวของคุโรยานางิ คาโอรุ ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวของคุโรยานางิ เซย์จูโร่ เพื่อนของปู่ลูกไง”

“หา???”

“แล้วที่สำคัญที่สุดก็คือ... งานนี้ลูกเป็นว่าที่เจ้าสาวนะจ๊ะ”

“ห๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาา??”



*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*



ผมในชุดสูทอย่างดี(ที่สุดเท่าที่เรามี)กำลังยืนเบลออยู่หน้าประตูรั้วแบบโบราณ กำแพงตระหง่านกั้นอาณาเขตเป็นบริเวณกว้างหลายไร่ (มีบ้านแบบนี้ในเมืองใหญ่แล้วเหรอวะ อ๊ากกกก) ป้ายไม้สักอย่างดีสลักชื่อ ”คุโรยานางิ” ตัวเบ้อเริ่ม มีใครบางคนกำลังพยายามลากผมที่สติไม่ค่อยสมประกอบเข้าไปด้านใน ที่จริงแม่ผมนี่ก็แรงเยอะใช้ได้นะ ทั้งๆที่ตัวก็เล็ก สูงก็แค่ 150 ต้นๆ แต่สามารถลากผมที่ตัวโตกว่าเกือบฟุตนึง (น้ำหนักไม่ต้องพูดถึง) มาจากบ้านได้เนี่ย ทั้งนี้ทั้งนั้นคงเพราะผมไม่ค่อยมีสติสัมปชัญญะมากกว่า



ปู่บ้า สัญญาบ้าๆไว้…

ผมโดนจับแต่งงาน กับคุณหนูบ้านรวย(ชิบหาย)…

คุณหนูเป็นผู้ชาย...

ผมเป็นว่าที่เจ้าสาว....



อ๊ากกกกกกกกกก จะบ้ากันไปใหญ่แล้ววววว โลกมันร้อนจนคนเพี้ยนไปหมดแล้วรึไง ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นห๊า!!!!!



“โหยลูกรัก สมัยนี้น่ะนะ ผู้ชายกับผู้ชายก็แต่งงานกันได้ เค้าเปิดกว้างกันถึงไหนๆแล้ว แล้วเรื่องนี้ทางบ้านคุโรยานางิก็เป็นคนมาติดต่อแม่ก่อนด้วย แม่น่ะไม่ขัดข้องหรอก ถ้าได้เป็นทองแผ่นเดียวกับตระกูลนี้ อู๊ยยย สบายไป 7 ชาติเลยลูกเอ๊ย ส่วนเรื่องสืบสกุลอะไรนั่นแม่ก็ไม่ซีเรียสหรอกนะ พ่อของลูกก็ไม่อยู่แล้ว ลูกจะไปใช้นามสกุลคุโรยานางิ แม่ก็ไม่วอรี่อะไรร้อก” คุณนายคาวามุระ แม่ม่ายลูก 1 พล่ามเหตุผลสารพัดให้ผมฟัง แต่มันก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย



บ้าไปแล้วแน่ๆ กุโดนจับแต่งงานกับผู้ชายยยย ฮาๆๆๆๆๆ (หัวเราะแบบสติแตก)



“เฮ้อ... นี่ถ้าเกิดอามิจังยังอยู่ คนที่แม่พามาวันนี้ก็คงเป็นลูกสาวคนสวยคนแม่ โถ... แทนที่แม่จะได้หลานไว้เชยชมกะเค้ามั่ง เฮอะ! แต่ไม่เห็นจะเป็นไร แม่ยังเหลือเอย์จิอีกคน เอ้า! เลิกอ้าปากหวอแล้วเดินตามแม่เข้ามาในบ้านซักทีซิ เอ๊อ ลูกคนนี้”



ครับ... จริงๆแล้ว ว่าที่เจ้าสาวงานนี้ต้องเป็นน้องสาวฝาแฝดของผม คาวามุระ อามิ แต่น้องผมก็จากผมและแม่ไปพร้อมๆกับพ่อด้วยอุบัติเหตุ เฮ้อ... ทำไมยัยนั่นไม่อยู่ต่ออีกซัก 2-3 ปีนะ พี่จะได้ไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ T T



“คุณนายคาวามุระ และคุณคาวามุระ เชิญเลยค่ะ” สาวรับใช้ใบหน้าสะสวยในชุดกิโมโนอย่างงามผายมือเชิญเราสองคนแม่ลูกเข้าไปด้านในบ้านญี่ปุ่นขนาดมหึมา ก่อนที่จะเดินนำไปตามทางเดินที่ทอดยาวโอบล้อมสวนญี่ปุ่นที่ถูกจัดอย่างสวยงาม แม่ผมยังคงเดินกึ่งจูงกึ่งลากผมเข้าไปในห้องแบบญี่ปุ่นที่สาวใช้เปิดไว้ให้

“รอสักครู่นะคะ คุณหนูฮารุกะกำลังเตรียมตัวอยู่ค่ะ” แล้วเธอก็เดินออกไป แม่และผมนั่งลงบนเบาะรองนั่งซึ่งถูกเตรียมไว้ โอ๊ะ... ขนาดเบาะยังขลิบทอง รวยชะมัดยาด

“นี่ ลูกน่ะ อย่าคลุ้มคลั่งขึ้นมาระหว่างที่กำลังคุยกันดีๆนะ เงียบๆเอ๋อๆแบบนี้ แม่ไม่ค่อยวางใจเลย” นั่นแม่กำลังพูดกับลูกชายตัวเองเรอะ

“แม่ก็... ผมกำลังช็อคหนักนะครับ ถ้าทำได้ผมก็อยากจะวิ่งหนีไปให้สุดขอบโลกเลย แต่ตอนนี้ทำไมผมหมดแรงเอาดื้อๆนะ” โรคประจำตัวผมอย่างหนึ่งก็คือ เวลาตกใจหรือเสียใจมากๆ แข้งขาจะไม่มีแรง สงสัยเมื่อวานเรื่องนี้จะกระทบกระเทือนจิตใจผมมากไปหน่อย ผมเลยเดินขึ้นบันไดไปนอนแทบไม่รอด แถมวันนี้ขามันยังอ่อนๆ เดินทีก็ให้แม่ลากที

“โอ๊ย ถ้าลูกแม่เจอคุณหนูฮารุกะ อาจจะสดชื่นขึ้นมาทันตาก็ได้ แม่ว่าเค้าหน้าตาดีมากๆเลยน้า นี่ถ้าไปเป็นดาราคงจะกลายเป็นชูเปอร์สตาร์แหงๆ โฮะๆๆ” แน่ะ... มาจีบปากจีบคอพูดอีก งั้นแม่ก็ไปแต่งกับเค้าเองสิ

“เหอะ... คงออกแนวซามูไรล่ะมั้งแม่ ตัวโตๆ หน้าโหดๆ ใส่ชุดซามูไรถือดาบเดินเข้ามา แล้วก็ทำหน้าตาเคร่งขรึมตามแบบฉบับลูกผู้ชายวิถีซามูไร แล้วเขาก็เงื้อดาบขึ้นมาฟาดฟันโผมมมมมม อ่อก...” ไม่ได้เว่อร์เลยนะเนี่ย ผมรู้สึกเหมือนกับว่า คุณหนูที่โตมาในตระกูลชั้นสูงที่เข้มงวดกวดขันแบบนี้ ต้องมีรังสีอะไรแบบนั้นแน่ๆ เอ๊ะ... ได้ข่าวว่าชงชารึจัดดอกไม้ก็เป็น (แม่ผมบอกเมื่อวานรึป่าวนะ) ซามูไรจัดดอกไม้ =[]= โอ้ว น่ากลัวววว

“อ้าว นี่ลูกไม่ได้ดูรูปที่แม่ให้เมื่อวานเหรอ เค้าออกจะสะ...”



ทันใดนั้นประตูบานเลื่อนก็ถูกเปิดออก เมื่อกี้แม่ผมตั้งใจจะพูดว่าสง่างามรึป่าวนะ ร่างสูงของชายหนุ่มก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา ชุดซามูไรสีน้ำเงินเข้มดูขึงขัง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อมองมาทางผม ฝักดาบสีดำสนิทแนบชิดอยู่ข้างตัว ทันใดนั้น... เขาก็ค่อยๆดึงดาบออกมาจากฝัก แล้วฟาดฉับลงมาที่กลางหัวผม!!!



.

.

.

.

.



ปล. นั่นมันจินตนาการน่ะ - -



เรื่องจริงก็คือสายตาของผมจับจ้องไปยังใบหน้าเรียวได้รูปและมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาด ผิวสีขาวเหมือนงาช้างตัดกับผมสีดำสนิทดั่งรัตติกาล ดวงตาคู่งามมีประกายระยิบระยับดั่งท้องฟ้ายามราตรีที่พร่างพราวไปด้วยหมู่ดาว จมูกโด่งปลายเชิดน้อยๆ อย่างคนมั่นใจตัวเอง ริมฝีปากสีกลีบซากุระอวบอิ่มชวนสัมผัส เอ๊ะแล้วนี่ผมจะบรรยายหายมโลกนรกขุมไหนเนี่ย ขนาดตอนแนะนำตัวเอง ผมยังบอกแค่ว่า คาวามุระ เอย์จิ อายุ 20 เลย -*-



เอาเป็นว่า คนที่มีใบหน้าสวยมากๆคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในห้อง แต่เอ๊ะ..... เค้าใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวอ่ะ สาวใช้คนนี้ไม่ยักกะใส่กิโมโนแฮะ แต่หน้าอกแบนๆแบบนั้นมัน... ผู้หญิง .............. ซะที่ไหนล่ะ!! ทำไมความรู้สึกช้าแบบนี้!!! นั่นมันผู้ชายชัดๆ

“สวัสดีค่ะ คุณคุโรยานางิ ฮารุกะ แหม... งามสง่าสมคำร่ำลือเลยนะคะ” แม่ผมทักคนที่เพิ่งเข้ามา เขาก็ยิ้มตอบแบบไว้ท่าทีแล้วเริ่มพูดด้วยสุ้มเสียงหวานหู

“สวัสดีครับคุณนายคาวามุระ เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับที่ได้รับคำชมเช่นนั้น สวัสดีครับคุณคาวามุระ เอย์จิ ผมคุโรยานางิ ฮารุกะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”



ฮารุกะ... คุโรยานางิ ฮารุกะ... ว่าที่”เจ้าบ่าว” คนนั้นน่ะเหรอ .......



มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ จนกระทั่งแม่กระทุ้งศอกเข้าสีข้าง ผมเลยพอจะเอ่ยสวัสดีกับเค้าได้มั่ง



รู้สึกขามันจะหมดแรงจนขยับแทบไม่ได้แล้วแฮะ...

ผมนั่งเหวอ (แต่พยายามหุบปากแล้วนะ) ฟังแม่บังเกิดเกล้าพูดคุยกับคุณหนูฮารุกะ ว่าที่เจ้าบ่าวผมอย่างออกรส นี่ผมไม่ได้พิมพ์ผิดนะ เค้าเป็น “ว่าที่เจ้าบ่าว” ไม่ใช่ “ว่าที่เจ้าสาว” ท่ามกลางสติอันแสนจะลางเลือนเต็มที ผมพอจะจับใจความได้ว่า ทางฝ่ายพ่อแม่ของฮารุกะติดธุระด่วน จะตามมาทีหลัง (เอ๊ะ.. ทำไมผมไม่เรียกเค้าว่าคุโรยานางิฟะ -*- เรายังไม่สนิทกันซักหน่อย) ส่วนสัญญาอะไรที่ว่านั่นก็คือ เมื่อทายาทคุโรยานางิ กับทายาทคาวามุระอายุครบ 20 ปี ก็ให้จัดงานแต่งงานกัน ผมอ่ะ 20 มาหลายเดือนแล้ว สงสัยฮารุกะเพิ่งครบ 20 ปีแหงๆ (เฮ้ย เรียกฮารุกะอีกแล้ว T T)



ซักพักใหญ่ๆ ฝ่ายพ่อแม่เจ้าบ่าว เอ๊ย พ่อแม่ของ “คุโรยานางิ ฮารุกะ” ก็มาถึง ท่านแม่ที่เคารพรักของผมก็พรีเซนท์ลูกชายตัวเองสุดฤทธิ์ นี่ผมยังสงสัยไม่หายเลยนะเนี่ย ทำไมเค้าถึงเห็นดีเห็นงามกับการแต่งงานครั้งนี้นัก ว่าที่เจ้าสาว(ผมเอง)เป็นผู้ชายนะเฟ้ยยยยย ช่วยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หน่อยสิครับ อายุก็ปูนนี้ น่าจะคัดค้านแท้ๆ นี่กลับส่งเสริมกันเห็นๆ แม่นะแม่ อยากให้ลูกชายเป็นเกย์รึไง ไม่เข้าใจ -*- ประชากรชายแท้ยิ่งน้อยๆอยู่

“ตระกูลคุโรยานางิของเรา สืบเชื้อสายมาจากซามูไรชั้นสูง เรายึดมั่นในสัตย์และคำสัญญายิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น” คุณนายคุโรยานางิเริ่มชี้แจงแถลงไข ก่อนที่คุณผู้ชายจะเริ่มบรรยายต่อ “ก่อนคุณพ่อจะสิ้นลม ท่านได้กำชับหนักหนา ว่าจะต้องให้มีการแต่งงานระหว่างตระกูลเราให้ได้ ยิ่งท่านได้รู้ว่า ตระกูลคาวามุระได้ให้กำเนิดบุตรสาว ท่านยิ่งกำชับหนักว่า จะต้องให้ฮารุกะแต่งงานกับทายาทคาวามุระให้จงได้” อืม... สำนวนการพูดสมเป็นผู้ดี นี่ผมชักจะสงสัยขึ้นมาอีกอย่าง บ้านผมจนจะตายไปรู้จักกับคนรวยๆแบบนี้ได้ไง(วะ)

“ค่ะ ดิฉันรู้ดี ปู่ของเอย์จิเอง..” แล้วแม่ก็หันมาหาผมที่ยังคงนั่งเงียบเป็นเป่าสากมาหลายเพลาแล้ว “ก็ได้สั่งเสียเอาไว้ก่อนตาย ว่าจะให้หลานท่าน ได้ร่วมหอลงโลงกับหลานของคุโรยานางิ เซย์จูโร่เพื่อนรักให้จงได้” แม่ชักจะติดการพูดของเค้ามาและ ไม่ต้องเก๊กขนาดนี้ก็ได้นะแม่

“ถึงแม้คุณคาวามุระ อามิจะด่วนจากไป...” คุณนายคุโรยานางิเริ่มสวดต่อ “แต่ทางเราก็มิอาจละทิ้งสัญญาได้ ยังดีนะคะที่เหลือคุณเอย์จิอีกคน” พูดจบก็หันมายิ้มให้ผม มันดีตรงไหนเนี่ย น้องผมตายไปทั้งคน

“ดิฉันก็เช่นกันค่ะ คำสั่งเสียนั้น สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ว่ายังไง ดิฉันก็จะต้องสานต่อคำสัญญานั้นให้ได้” แม่ผมก็เอากะเค้ามั่ง โอ๊ย... ถึงตอนนี้แล้วผมอยากจะลุกหนีไปซะพ้นๆ ทำไมซีรี่ย์เรื่องนี้ยังไม่จบซักที ถ้าผมหลับแล้วฝันไปก็ขอให้ตื่นเร็วๆเถิ๊ดดด

“ด้วยเกียรติของทายาทตระกูลคุโรยานางิ” คราวนี้ฮารุกะคนงามของผม(?)เริ่มพูดมั่ง “ผมขอสัญญาว่าจะดูแลลูกของคุณนายคาวามุระเป็นอย่างดี ผมจะไม่ทำให้เจ้าสาวของผมต้องเดือดร้อนและเสียใจแน่นอนครับ” แล้วไม่เห็นเหรอว่ากุกะลังช้ำใจอยู่เนี่ยยย พูดเรียกคะแนนนิยมแบบนี้ มีแต่ทำให้ผู้ใหญ่ๆโดยเฉพาะแม่ผมปลาบปลื้มซาบซึ้งเป็นล้นพ้น โอ้ววว ว่าที่สามีผม ทำไมคารมดีเช่นนี้ ............. อุแหวะ

“ว่าแต่... ท่าทางคุณเอย์จิเงียบๆจังเลยนะคะ” คุณนายซามูไรหันมายิ้มๆกับผม “สงบเสงี่ยมเจียมตน สมกับที่จะเข้ามาเป็นคนของตระกูลเราเลย” คือ... ผมพูดไม่ออกต่างหากล่ะ อยู่ในวงคนเพี้ยนๆแบบนี้

“เค้าก็เป็นเด็กเรียบร้อยแบบนี้ล่ะค่ะ นี่สงสัยยังตื่นเต้นไม่หายที่ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากบ้านคุโรยานางินะคะ” ว่าแล้วเสด็จแม่ผมก็หัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ ทางนู้นก็หัวเราะอารมณ์ดีกัน แหม... บรรยากาศแสนจะชื่นมื่นอะไรเช่นนี้



ผมมารู้สึกตัวอีกที (สรุปคือที่ผ่านมานั่นไม่รู้ตัวเลย?) ก็ตอนโดนคุณนายคาวามุระ ........ แม่ผมอ่ะแหล่ะ ฉุดกระชากลากถูให้ผมไปนั่งคุยกับคุณหนูฮารุกะตามลำพัง ทำนองว่า ให้ดูใจกันก่อนแต่งล่ะมั้ง โห... แม่น่ะแหล่ะ มาดูใจลูกชายเลย จะตายอยู่แล้วเนี่ย

“ท่าทางคุณเอย์จิไม่ค่อยร่าเริงเลยนะครับ ไม่สบายหรือเปล่า” ว่าที่เจ้าบ่าวผมหันมาถาม เรากำลังเดินอยู่บริเวณสวนภายในบ้าน ผมเหลียวมองรอบตัวเหมือนคนเพิ่งตื่น เห็นแม่ยืนลุ้นอยู่ไกลๆ เอ๊ะ... แล้วเค้าถือดียังไงมาเรียกชื่อต้นของผมเนี่ย

“เอ่อ.. ครับ เอ๊ยไม่ใช่ สบายดีครับ คุณ...คุโรยานางิ”

“ไม่ต้องเรียกเป็นทางการอย่างนั้นก็ได้ครับ” พูดจบก็ยิ้มละไม ช่างเป็นภาพที่งดงามราวกับฝีมือของจิตรกรชื่อดังอะไรเช่นนี้ ......... คิดว่านะ “เรียกผมว่าฮารุกะก็ได้นะครับ ไหนๆเราก็จะแต่งงานกันแล้ว”



พรวด!!! นี่ถ้าผมกำลังกินน้ำอยู่ สงสัยได้สำลักออกมาใส่คนตรงหน้าแน่ๆ คุณหนูบ้านนี้ก็เพี้ยนๆแฮะ พูดเรื่องการแต่งงานได้หน้าตาเฉย เห็นรึป่าวว่าตูเป็นผู้ชายเนี่ย เฮ้อ... ตระกูลคุโรยานางิก็เลือดซามูไรจัด พูดคำไหนคำนั้น สัญญาว่าจะแต่งงานก็ต้องแต่ง ถึงแม้ว่าไปๆมาๆเจ้าสาวจะกลายเป็นผู้ชายก็ตามที ส่วนฟากคาวามุระ บ้านผม คุณนายก็หวังรวยทางลัด(มั้ง) ผลักไสให้ลูกชายสุดที่รักไปเป็นคนตระกูลอื่นที่รวยกว่าตนหลายเท่า นี่ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย...



“นี่คุณ.. ผมจะบอกอะไรให้นะ” ผมตั้งใจจะพูดความในใจที่อัดอั้นมานาน “ผมน่ะ ไม่คิดจะแต่งงานกับคุณหรอก และก็จะไม่ยอมแต่งโดยเด็ดขาด” โอ้... พูดออกไปแล้ว เอย์จิคุงยอดมาก

“หรือคุณไม่พอใจที่ต้องรับบทเจ้าสาว?? งั้นเดี๋ยวผมไปบอกให้เค้าเปลี่ยนผมเป็นเจ้าสาวแทนก็ได้” คุณหนูฮารุกะเอ่ยขึ้นหน้าตาเฉย

“ไม่ช่ายยยยยยยยยย” โอ๊ย จะบ้าตาย เนี่ยนะความคิดเด็กนิติ ม.โทได



อ๊ะ... บางทีอาจจะกู๊ดไอเดียก็ได้ จริงๆแล้วฮารุกะเองก็ดูสวยกว่าผมเป็นไหนๆ ใบหน้าสวยคมแต่แฝงไว้ด้วยความหวานลุ่มลึก รูปร่างบอบบางดูน่าทะนุถนอม (แต่ได้ข่าวว่าคาราเต้ก็เป็น เคนโด้ก็เป็นนี่) อีกทั้งเค้ายังตัวเล็กกว่าผม ถ้าแต่งชุดเจ้าสาว ต้องออกมาสวยแน่ๆเลย ........................ เอ๊ะ คิดอะไรอยู่วะเนี่ย



“คุณไม่คิดแอนตี้เรื่องคลุมถุงชนบ้างรึไง” ผมเริ่มต้นถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ผมนะ ไม่ชอบเรื่องแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว การแต่งงานน่ะ มันต้องเกิดขึ้นจากความรักที่สองคนมีให้กันสิ แล้วตอนนี้ผมยังเรียนอยู่ ยังอยากมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ยังไม่อยากผูกมัดกับอะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องแต่งงานน่ะ ไม่เคยอยู่ในหัวผมแม้แต่น้อย” ความกดดันที่สั่งสมมานาน ผมค่อยๆระบายออกมาให้คนข้างๆได้รับฟัง

“แต่ผมคิดว่า ซักวันผมต้องแต่งงาน และรับผิดชอบชีวิตคู่ให้ดีที่สุด ถึงแม้ผมจะเพิ่งครบ 20 แต่ผมเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่พอที่จะรับผิดชอบเรื่องนี้ได้” สีหน้าของฮารุกะจริงจังไม่แพ้ผม

“โอเค ความคิดเราต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้คืออะไรรู้มั้ย ............. ผมเป็นผู้ชายนะ แล้วคุณก็เป็นผู้ชาย! ผู้ชายแต่งงานกันน่ะเหรอ บ้ารึป่าว ถ้าคุณเป็นผู้หญิงผมอาจจะพอฝืนๆแต่งไปตามใจแม่บ้าง แต่เมื่อเป็นแบบนี้ก็เลิกคิดไปได้เลย” นี่ผมโหดร้ายเกินไปมั้ยนะ แต่ผมก็ทำใจรับไม่ได้จริงๆนี่นา

“มันก็จริง...” ใบหน้าสวยก้มลงเล็กน้อย ดวงตาคู่งามหลุบลงเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “แต่ว่า... ผมไม่แคร์หรอก ผมตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานกับคุณ” แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้น จ้องมองผมด้วยสายตาร้อนแรง โห... นี่ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงยินยอมพร้อมใจพลีกายถวายชีวิตให้แน่ๆ แต่............

“คุณ......” รู้สึกเหมือนขาผมจะพาลหมดแรงอีกแล้ว “คุณ.... อย่าบอกนะว่า ......... คุณเป็นเกย์น่ะ!! คุณชอบผู้ชายใช่มั้ยถึงได้ไม่ขัดข้องกับการแต่งงานครั้งนี้!! เอ่อ... โอเค ผมอาจจะหน้าตาดี มั้งนะ... แต่ผมไม่มีรสนิยมแบบคุณนะ!”

“เปล่านะ ผมไม่ได้เป็นเกย์” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง “เพียงแต่ ผมไม่รังเกียจที่จะใช้ชีวิตร่วมกับคุณเท่านั้นเอง และถ้าเราแต่งงานกันแล้ว ผมสัญญาว่าจะดูแลคุณเป็นอย่างดี”



สรุปคือ ยังไงก็จะเอาตูเป็นเจ้าสาวให้ได้สินะ โอ้ ชีวิตเอย์จิคุง ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย ยัยอามิ รีบฟื้นคืนชีพมาเดี๋ยวนี้นะเว้ยยยย มาเป็นเจ้าสาวแทนพี่ที~~



*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*



ผมกับฮารุกะ... โอเค ที่จริงเราก็ไม่ได้สนิทสนมกันถึงขนาดเรียกชื่อจริงได้ แต่ผมเล็งเห็นแล้วว่า คำว่า”คุโรยานางิ” มันยาวกว่า “ฮารุกะ” เพื่อความสะดวก ผมจะเรียกคุณหนูนั่นว่าฮารุกะละกัน (แต่ไม่ได้หมายความว่าผมยินดีร่วมชีวิตกับเค้านะเฟ้ย) เราสองคนเดินกลับมาบริเวณห้องรับแขกที่แม่ผมยืนรออยู่ ความจริงคือผมรีบเดินจ้ำหนีมาซะก่อนที่ขาจะขยับไม่ได้ด้วยคำพูดชวนขนลุกของว่าที่เจ้าบ่าวผมต่างหาก ท่าทางแม่สงสัยเล็กน้อยเมื่อเห็นผมเดินหน้ามุ่ยเข้ามาหา

“แม่ ผมจะกลับบ้าน”

“อ้าว ทำไมล่ะ ปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำเหรอ” โห... นี่คิดอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอแม่ผม

“ขอโทษนะครับคุณแม่” เจ้าฮารุกะชิงพูดซะก่อน นี่ถือดียังไงมาเรียกแม่ผมว่าคุณแม่เนี่ย “ผมทำให้เอย์จิเค้าไม่พอใจน่ะครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ” แล้วถือดียังไงมาเรียกชื่อผมห้วนๆเนี่ย!!

“โอ๊ย... ไม่หรอกค่ะฮารุกะคุง” แม่ก็ตีซี้กะเค้าซะ “ลูกแม่มันงี่เง่าเองต่างหาก ไม่เอาไหนซะเลย นี่เอย์จิ ไปเสียมารยาทอะไรกับฮารุกะคุงเค้าน่ะ พอหายเอ๋อก็ทำตัวน่าตบทันทีเลยนะ” เอ๊อ... แม่นะแม่ เข้าข้างลูกคนอื่นเข้าไป

“เอย์จิเค้าคงจะเหนื่อยมั้งครับคุณแม่ ถ้ายังไงให้เขาไปพักก่อนดีกว่านะครับ ผมไม่รั้งไว้แล้วล่ะ” พูดจบก็ก้มหน้าน้อยๆเหมือนเสียใจ อีแบบนี้มีเหรอแม่ผมจะนิ่งดูดายได้

“โถ... ฮารุกะคุง ไม่ต้องรู้สึกผิดแทนเจ้าเอย์จิมันหรอกจ้ะ แม่ก็รู้สึกเหนื่อยใจเหมือนกันที่เอาลูกคนนี้ไม่อยู่ แต่ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ แม่จะอบรมเอย์จิอย่างดี ไม่ให้เค้าทำเรื่องเดือดร้อนแบบนี้อีกนะ” ไม่อยากจะบอกว่า แม่ผมพูดกับฮารุกะเพราะกว่าที่พูดกับผมซัก 56 เท่าได้มั้ง

“คุณแม่เป็นคนอดทนดีจังเลยนะครับ ผมต้องเอาอย่างคุณแม่ซะแล้ว”

“ไม่หรอกจ้ะ ฮารุกะคุงเป็นคนดีอยู่แล้ว..”



บลาๆๆๆ และอีกมากมายคำสนทนาของว่าที่ลูกเขยกับว่าที่แม่ยายพร่ำพรรณนาใส่กัน แล้วแบบนี้ผมจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่เนี่ย ชักอยากนอนขึ้นมาตะหงิดๆแล้ว รู้สึกมันเพลียๆยังไงไม่รู้ ที่เค้าว่าเหนื่อยใจมันหายยากกว่าเหนื่อยกายคงจะใช่แน่ๆ สงสัยพรุ่งนี้คงต้องชวนเพื่อนไปเที่ยว+เหล่สาวให้หายเศร้า ต่อด้วยเที่ยวกลางคืน+มั่วสุมอีกซักหน่อย เรียกชีวิตวัยหนุ่มกลับคืนมา!!



“วันนี้แม่กลับก่อนละกันนะจ๊ะ ท่าทางเจ้าเอย์จิคงจะไม่ไหวแล้ว” ผมทันได้ยินแม่พูดประโยคนี้ ทำเอาตาสว่างวาบ แล้วผมก็วิ่งกระดิกหาง เอ๊ย วิ่งไปหาแม่

“งั้นเดินทางดีๆนะครับ ขอบคุณมากนะครับสำหรับวันนี้ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับคุณเอย์จิ” คุณหนูคุโรยานางิโค้งให้แม่และผมน้อยๆ ส่วนผมผงกหัวรับแล้วรีบหันกลับเดินเขย่งๆนำแม่ออกจากบ้านด้วยความเร็วแสง



“กลับบ้านนนน กลับบ้านๆๆๆ”

“เอ๊.... ลูกคนนี้ ทำไมไปทำท่ารำคาญเค้าแบบนั้นหา แม่บอกให้ทำตัวดีๆ หน่อยก็ไม่ฟัง”

“แหม... ผมไม่คลุ้มคลั่งจับหมาในบ้านเค้าเป็นตัวประกันก็ดีแค่ไหนแล้ว ผมบอกเค้าไปแล้วนะว่าผมไม่คิดจะแต่งงานกับเค้าน่ะ” ผมบอกแม่ด้วยความสบายใจ หวังว่าบอกความจริงไปแบบนี้แม่คงจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะจับผมแต่งงานซักที

“แต่แม่คุยกับบ้านคุโรยานางิเรื่องฤกษ์แต่งงานแล้วนะ อีก 2 เดือนข้างหน้า ลูกปิดเทอมพอดี งานแต่งก็จัดที่บ้านคุโรยานางิน่ะแหล่ะ”

“ห๊ะ??” ประโยคนั่นทำเอาผมหยุดยืนกับที่

“ส่วนพิธีหมั้นก็พรุ่งนี้ ที่จริงก็อยากจัดงานแต่งหลังหมั้นเลยนะ แต่ทางนู้นเค้าถือเรื่องฤกษ์ยามพอสมควร งั้นก็หมั้นไปก่อนละกัน”

“หาาา?... งั้นที่คุณหนูฮารุกะเค้าบอกว่า... เจอกันพรุ่งนี้....?”

“ก็งานหมั้นไง จัดช่วงบ่ายก็จริง แต่ว่าช่วงเช้าก็ต้องตื่นมาแต่งหน้าแต่งตัวนะจ๊ะ เอย์จิคุง”

“ห๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาา??”

ผมยืนแน่นิ่งเป็นหุ่นกระบอกให้แม่จับใส่เสื้อผ้าตามใจชอบในห้องสไตล์ยุโรป ที่นี่ที่ไหนนะ.. สงสัยผมกำลังฝันอยู่ล่ะมั้ง เพราะรู้สึกว่าตัวมันเบาๆ ความรู้สึกรู้สาก็ไม่ค่อยมี ผมฝันว่าโดนแม่บังคับให้แต่งงานกับผู้ชาย แล้วผู้ชายคนนั้นก็เป็นคนที่รวยมากๆด้วย ที่สำคัญคือผมต้องเป็นเจ้าสาวนี่สิ แล้วตอนนี้ผมกำลังจะเข้าพิธีหมั้นกับว่าที่เจ้าบ่าวคนนั้น อืม... ช่างเป็นฝันที่สมจริงจังเลย สัมผัสของชุดสูทที่ใส่อยู่นี่เหมือนจริงชะมัด



“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้วนะเอย์จิ .......... เอย์จิ ยืนเหม่ออีกแล้ว เอย์จิ!!” นั่น... เสียงแม่ผมเรียกแล้ว สงสัยในความเป็นจริงแม่คงกำลังตะโกนเรียกผมจากข้างเตียงแน่ๆ ต้องรีบตื่นล่ะเดี๋ยวไปเรียนสาย

“เอย์จิ!! เดี๋ยวจะไม่ทันนะลูก” คร้าบแม่ ผมกำลังจะตื่นอยู่แล้ว “ป่านนี้ฮารุกะคุงคงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลูกเองก็ต้องไปที่ห้องพิธีได้แล้วนะ” เอ๊ะ... ใครคือฮารุกะอ่ะแม่ แล้วพิธีอะไร?? ว่าแต่... ทำไมตื่นนอนครั้งนี้มันยากซะจริง

“เอ๊ะ... ลูกคนนี้!!” แล้วแม่ก็หยิกแก้มผมเต็มแรง



โอ๊ยยยยยยยยยย เจ็บบบบบบบบบ



“เลิกเข้าโหมดเอ๋อแล้วตามแม่มาซะดีๆ ถ้ายังไม่ฟื้นเดี๋ยวมีตบแน่ๆ จะยืนบ้าฝันกลางวันไปถึงไหนห๊ะ เฮ้อ... กลุ้มจริงๆลูกคนนี้”



ฝันเหรอ?? นี่มันไม่ใช่ความฝันใช่มั้ย?? ผมไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยครับแม่ ผมกำลังจะเข้าพิธีหมั้นกับ “ผู้ชาย” จริงๆเหรอครับแม่!!!



*-*-*-*-*-*-*-*-*



แล้วผมก็โดนเสด็จแม่ที่รักยิ่งลากมายังห้องแบบญี่ปุ่นขนาดใหญ่ ภายในห้องมีชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งใส่ชุดกิโมโนเต็มยศ และชายหนุ่มอีกคนในชุดสูทผ้าไหมสีมังคุด ใบหน้าขาวใสเหมือนพรีเซนท์เตอร์ไวท์เทนนิ่งหันมาหาผมแล้วยิ้มหวาน เหอะๆ... ตามธรรมเนียมมันต้องยิ้มตอบสินะ แต่ตอนนั้นผมทำได้แค่แสยะยิ้ม จนโดนแม่หยิกหลังมือเข้าให้



ทำไมคนที่คัดค้านเรื่องงานแต่งงานหัวชนฝาแบบผมถึงยอมเข้าพิธีหมั้นแต่โดยดี?? (โดยดีที่ว่าก็คือไม่ออกอาการคลุ้มคลั่งปีนขึ้นไปเอามีดจ่อคอหอยตัวเองบนเสาไฟฟ้าน่ะ) ผมไม่ได้ให้ความร่วมมือเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ผมก็ต้องจำยอมต่อผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในชีวิต



อ๊ะ... กรุณาอย่าคิดว่าแฟนเก่าไล่ผมให้ไปแต่งงาน หรือยัยอามิ น้องสาวที่จากไปของผมมาเข้าฝันแล้วบังคับด้วยการทำผีอำหรอกนะ



ผมเพิ่งรู้(จริงๆคือแอบได้ยินแม่คุยโทรศัพท์)ว่าการเรียนต่อของผมส่งผลให้ครอบครัวเรามีหนี้มากมาย จากเดิมที่เคยมีพ่อเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหารายได้เข้าครอบครัว แต่เมื่อพ่อจากไปเหลือแม่คนเดียว รายได้จึงน้อยลงอย่างฮวบฮาบ ผมเพิ่งรู้ว่าจริงๆแล้วแค่ลำพังเงินเดือนของแม่ ไม่พอค่าเล่าเรียนผมในแต่ละเทอม แต่แม่มักจะทำหน้าเหมือนว่า “โอ๊ย เงินแค่นี้แม่หามาประเคนให้ได้อยู่แล้ว” และผมก็แอบได้ยินค่าตัว(?)ของผมที่จะได้ในวันหมั้น มันมากพอที่จะล้างหนี้ของแม่ได้เกือบหมด!! เพราะฉะนั้นในวันนี้ ผมจึงยอมให้แม่ลากมาบ้านคุโรยานางิ สถานที่จัดพิธี กะว่าแค่หมั้นล่ะน่า เดี๋ยวได้ตังค์แล้วกุก็เชิดงานแต่งงานซะ เวลายังพอมี วะฮ่ะฮ่า เรื่องอะไรจะให้ผมแต่งงานกับผู้ชายล่ะ หมดโอกาสขยายเผ่าพันธุ์กันพอดี



แต่... พอหลวมตัวเข้ามาแล้ว รู้สึกว่าคิดตื้นไปแฮะ เห็นคนตระกูลคุโรยานางิเตรียมงานกันขวักไขว่แถมมีญาติโกโหติกามาร่วมยินดีด้วย ได้ข่าวว่ามีญาติเปิดบริษัทบอดี้การ์ดอะไรซักอย่างด้วยอ่ะ (ได้ยินแม่เมาท์กับสาวใช้) ถ้าผมหมั้นแล้วชิ่ง อย่างงี้ผมจะโดนลากคอมาขึ้นเขียงมั้ยเนี่ย?? รึต่อให้ผมคิดจะหนีไปนอกประเทศแต่ดูจากอิทธิพลของบ้านนี้แล้ว ไม่ทันที่ผมจะก้าวขาออกจากบ้าน สงสัยจะมีกลุ่มซามูไรมาปลิดชีวิตผมซะก่อนอ่ะดิ่ -*-



คิดไปคิดมา ขามันก็พาลหมดเรี่ยวแรงอีกแล้ว



“คุณเอย์จิ ใส่สูทชุดนี้ดูดีจังครับ” ฮารุกะทักเมื่อผมนั่งลงกับที่ เอ่อ... ที่ว่าดูดีนี่หมายถึงสูทอย่างเดียวล่ะมั้ง แหงสิ... เครื่องแต่งกายทั้งหมด บ้านคุโรยานางิเป็นคนออกค่าใช้จ่ายนี่หว่า

“ต้องขอบคุณทางคุโรยานางิมากๆเลยนะคะที่ยินดีรับเป็นคนจัดการเรื่องเสื้อผ้าและงานพิธีทั้งหลาย” แม่พูดแล้วแจกยิ้มไปทั่ว ดีนะที่ไม่มีหัวเราะ โฮะๆๆ ตบท้าย

“มันเป็นหน้าที่อยู่แล้วครับ คุณนายคาวามุระ” พ่อของฮารุกะกล่าวเสียงขรึม “ทางเราเป็นฝ่ายสู่ขอ เพราะฉะนั้นปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบของคุโรยานางิเถอะครับ”



แล้วก็เป็นบทสนทนาชมกันไปชมกันมาระหว่างสองตระกูล ชมเรื่องเสื้อผ้ามั่งล่ะ ชมเรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อยมั่งล่ะ ดีนะไม่ชมว่า ว่าที่เจ้าสาวส๊วยสวย -*- (ถ้าจะชมไปชมฮารุกะโน่น)



การหมั้นผ่านไปอย่างเรียบง่าย แหวนเงินแท้สลักลวดลายแต่พองาม 2 วงถูกเตรียมไว้ วงหนึ่งต้องระเห็จ(?)มาอยู่กับผมด้วยผลงานการบรรจงใส่ของคุโรยานางิ ฮารุกะ ตอนที่ฮารุกะจับมือผมไปเพื่อสวมแหวน ผมพยายามยื้อมือตัวเองกลับมา แต่ไม่น่าเชื่อว่าภายใต้ใบหน้าหวานซึ้งนั่นจะซ่อนเหี้ยมอยู่ เขาจับมือผมซะแน่น(ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน)แล้วดันสิ่งของรูปร่างวงกลมพรวดเข้าไปอย่างเร็ว ซึ่งมันก็พอดีเป๊ะกับนิ้วผมอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้นผมก็นั่งเหวออยู่ 1 นาทีจนกระทั่งแม่ฟาดกบาลเตือนสติ โอ๊ะ... ไม่ใช่ แค่หยิกสีข้างผม ให้สวมแหวนฮารุกะมั่ง ถึงตอนนี้ผมพยายามจินตนาการให้ฮารุกะเป็นสาวงาม เผื่อว่าผมจะสามารถลืมๆได้บ้างว่ากำลังเข้าพิธีกับผู้ชายอยู่



มือของฮารุกะดูบอบบางน่าทะนุถนอม ผิวขาวเนียนนุ่มลื่นน่าสัมผัส ถึงแม้ฝ่ามือจะหยาบเล็กน้อยซึ่งคงเกิดจากการเรียนศิลปะป้องกันตัวสารพัดรูปแบบ แต่ทว่าเมื่อกุมมือนั่นเอาไว้กลับรู้สึกดีอย่างประหลาด..... ราวกับความอบอุ่นกำลังถ่ายทอดมายังผมผ่านทางปลายนิ้วเรียวยาว....



แล้วผมก็โดนแม่หยิกเรียกสติอีกที สงสัยผมจะเหวอนานไปหน่อย แหม... อุตส่าห์บรรยายซะดิบดี เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังกุมมือฮารุกะเอาไว้เหมือนลุงแก่ๆที่หลอกแต๊ะอั๋งสาวๆ ผมก็เลยรีบยัดสิ่งๆนั้นเข้าไปในตัวเขา........... คิดลึกล่ะสิ แค่สวมแหวนก็คิดไปได้ถึงไหนๆนะ



“ทีนี้เราก็เป็นคู่หมั้นกันแล้วนะเอย์จิ” หนุ่มหน้าหวานยกมือตัวเองขึ้นดูวงแหวนสีเงินเป็นประกายแล้วเอ่ยยิ้มๆ เอ๊ะ... เค้าเรียกผมว่าอะไรนะ ไม่มีคำว่าคุณแล้วเหรอ

“ก็งั้นแหล่ะ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะยอมแต่งงานกับคุณนะ” ที่ผมกล้าพูดขนาดนั้นเพราะในเว
Fiction

ร่วมแสดงความเห็น

ติดต่อเรา